กลับมาอีกครั้งแล้วครับ ผมจะมาต่อเรื่องสัญญาณเสียงดิจิตอลนะครับ หลังจากหายหน้าหายตาไปนาน
รอบนี้จะกล่าวถึง "ข้อมูลของเสียงที่บันทึกในรูปแบบดิจิตอล" โดยสรุป
ย้อนความกลับไปในยุค 60s 70s 80s ที่กำลังรุ่งเรือง
เหล่าผองพี่ๆ ทั้งหลายซึ่งตอนนั้นผมก็ยังไม่เป็นตัวอ่อนเลย คงจะนึกถึงวงดนตรีอย่างเช่น Elvis Presley, Pink Floyd, Shocking Blue, Santana, Kiss, Queen, Rolling Stones, The beatles, Bee Gees, อีกมากมายนับไม่ถ้วน ในสมัยนั้นจะฟังเพลง ก็ยากเย็นยิ่งนัก ฟังผ่านวิทยุ และแผ่นไวนิล (ขออภัยที่ผมไม่ค่อยเชี่ยวชาญศิลปินไทยสมัยก่อนนะครับ อย่างน้อย ก็มีท่านสุรพล สมบัติเจริญ ล่ะครับ ช่วงนั้นมีการใช้กันอย่างแพร่หลายในกิจการสถานีกระจายเสียง และโทรทัศน์)
แผ่นเสียงดังกล่าว ทำจากวัสดุประเภทพลาสติก (เราจะไม่ย้อนเรื่องแผ่นเสียงสมัย ร.4 เพราะนั่นทำจากเซรามิก) ข้อเสียคือ ขูดมากๆ (โดยเข็มอ่านแผ่น) จะทำให้เป็นรอย เสียงตกร่อง ซึ่งปัจจุบันก็ยังมีคนสรรหา สะสมอยู่นะครับ แผ่นเก่า 4 -5 ร้อย แต่แผ่นใหม่ๆ โจ๊ะ ก็ราคาหลักพัน
ต่อมาเป็นยุค เทป คาสเซ็ท
ยุคนี้ผมก็เกิดทันนะครับ ตอนนั้น มอส ทาทา ยัง Time นากา คาราบาว หรือเจ้าของบทเพลง เกรงใจ แรปเตอร์ หลุยส์ ก็ยังอยู่ในยุคนี้ (Generation NEXT by pepsi) ศิลปินเยอะแยะมาก ผุดเป็นดอกเห็ด หรือ ร็อคต่างประเทศ Linkin Park Limp Bizkit Red Hot Chilli Pepers และอีกมากเลยทีเดียว
นับได้ว่าเป็นยุคก้าวกระโดดอีกครั้งหนึ่งของมนุษยชาติ (ไม่นับการบันทึกเสียงรูปแบบชนิดยิบย่อยนะครับ อันนี้รู้สึกจะเด็ดมาก ในช่วงเวลาหนึ่ง) เทป คาสเซ็ท จะเป็นแถบแม่เหล็ก เส้นยาวๆ เล่นโดยเครื่องเล่นเทป วิทยุ หรือ วอล์คแมน อันโด่งดัง (ประวัติศาสตร์ของวอล์คแมน คือ มีผู้บริหารบริษัทโซนี่ เนี่ยแหละ ต้องบินไปประชุมที่ต่างประเทศบ่อยๆ แต่บนเครื่องบินยุคนั้นไม่มีอะไรให้ทำครับ นอกจากหลับๆๆๆ อย่างเดียว จึงจัดการให้วิศวกรประจำบริษัท ทำโจทย์ชิ้นหนึ่ง โดยระบุปัญหาว่า "อยากฟังโอเปร่า แต่พกพาติดตัวได้" หลังจากนั้นก็กำหนดเป็นเครื่องอ่านเทปคาสเซ็ท แบบพกพา ชื่อดังกล่าว)
ถ้าฟังมากๆ เจ้าเทปนี่ก็ยืดย้วยได้ ท่านต้องเอาไปแช่ตู้เย็นล่ะจ้า 555+
ยุคก้าวกระโดดอีกครั้งไปสู่ดิจิตอล
และแล้วอะไรๆ ก็ไม่จีรังยั่งยืน โลกแห่ง 0 1 0 1 0 1 กำเนิดขึ้นแล้ว !
ก็เมื่อสมัยก่อนเครื่องบันทึก เครื่องอ่าน สื่อทั้งหลายเป็น Analog นับว่าเป้นความคลาสสิคอย่างหนึ่งเลยทีเดียว ถ้าว่าเรื่องเสียงแบบ analog มันก็จะละมุน อุ่น กลมกลืน แต่ว่าถ้าบันทึกในรูปแบบ digital แล้วละก็ จะได้ยิน หรือ ได้เห็นความคมชัด อย่างเช่น หนัง ไฮเดฟฟินิชั่น (Hi-Def) ยิ่งช่วงนี้ LED TV ,HD Player , ชุดเรื่องเสียง มาแรง และราคาถูก แข่งขันกันเยอะ หามาครอบครองโดยง่าย
พอนึกภาพออกไหมครับ ว่าเทคโนโลยีสมัยนี้ ก้าวกระโดดไปอย่างรวดเร็ว ผมขอยืนยันว่า ณ ตอนนี้ คงไม่มีใครไปเปิดชมหนังในรูปแบบวิดีโอเทปแล้วแต่ว่า ความเป็น Digital ที่ว่านี้นะครับ มักจะถูกรบกวน โดยกระแสไฟฟ้า สายสัญญาณไม่ดี หมายความว่า กระแสไฟฟ้า จ่ายไฟไม่คงที่ ความต่างศักย์ไม่ถูกต้อง และไม่คงที่ (ใน กทม. มักจะ เกิน 220v ไปเป็น 229 -240v และต่างจังหวัดมักจะอยู่ประมาณ 190-230v) ทำให้เกิด Resonance ในการส่งสัญญาณ ให้นึกถึงท่านขึงเชือกตึงๆ กับตะปู แล้วมีคนมาสะกิดเชือก ตรงกลางเส้นเชือก ตรงตะปู เชือกเราก็จะสั่น ทำให้คุณภาพของระบบออกมาไม่ดี (แน่นอนกระทบเรื่องเสียงเต็มๆ ส่วนเรื่องภาพ สังเกตไม่ค่อยได้) นี่คือสิ่งที่ทำให้นักเล่นเครื่องเสียง จำเป็นต้องลงทุนให้ได้เพื่อระบบเครื่องเล่นเสียงที่ดีที่สุด
ก็เลยถูก Copy ได้ง่าย ส่งข้อมูลจาก user ถึง user โดยง่าย ดังนั้น จึงไม่แปลกเลยที่ทำให้ อุตสาหกรรมภาพยนต์ อุตสาหกรรมเพลง ขาดทุนปีหนึ่ง รวมๆ ทั้งโลก เป็นหมื่นหมื่นล้าน (หน่วยสกุลเงินไม่ทราบจ้า เยอะมาก 555)
ไม่มีความเห็น