พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ประเสริฐ มีความดี สร้างบารมี...
คนเราเกิดมาต้องทำความดี สร้างบารมี เพราะสังขารร่างกายของเรานี้เป็นของใช้ชั่วคราว ให้รู้จักปล่อยวางสิ่งที่เรายึดเราถือ ปล่อยวางร่างกายของเรา ปล่อยวางเวทนาของเรา ความรู้สึกนึกคิดปรุงแต่งก็ให้เราปล่อยวางเหมือนกัน คนไม่ตายมันก็ต้องยังมีความคิดเป็นธรรมดา ปล่อยวางพวกลูกพวกหลาน เขาจะดีเขาจะชั่ว จะมีจะจน พวกนี้ต้องปล่อยวางหมด เพราะว่าเราไปคิดวิตกวิจารณ์ มีความทุกข์ ดีใจเสียใจเราก็ไปช่วยอะไรเขาไม่ได้ เขาจะด่าเรา เขาจะนินทาเรา เขาจะสรรเสริญเรา เขาจะว่าเราดีมันก็ไม่ดีหรอก เขาจะว่าเราชั่วมันก็ไม่ได้ชั่วหรอก เขาจะว่าเราอ้วนเราผอมเราก็ไม่อ้วนไม่ผอมตามที่เขาพูดหรอกนะ...
พระพุทธเจ้าท่านให้เราฝึกปล่อยฝึกวาง... เพราะตัวความทุกข์จริง ๆ อยู่ที่ใจ ตัวเวียนว่ายตายเกิดจริง ๆ คืออวิชชาคือความหลง นี้เป็นบั้นปลายชีวิตของเราแล้วเราต้องฝึกปล่อยฝึกวาง ถ้าเราไม่ฝึกไม่ปฏิบัติ ชีวิตของเรามันจะเสียหายนะ..!
เราเกิดมาเป็นมนุษย์ถือว่าเรามาสว่างแล้ว ถ้าเราไม่ได้ฝึกถือว่าเราจะเป็นคนไปมืด...
พระพุทธเจ้าท่านให้เราปล่อยวางหมด ว่าเราเป็นหญิงเป็นชาย เป็นคนแก่คนชรา ว่าจริง ๆ แล้วล้วนแต่ไม่มีตัวมีตน ถ้าเราไม่ทานอาหาร ไม่พักผ่อน ชีวิตนี้มันก็อยู่ไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่ของเรา
พระพุทธเจ้าท่านให้เราทุก ๆ คนตั้งมั่นในพระรัตนตรัย หันมาหาศีลหาธรรม หันมาหาข้อวัตรข้อปฏิบัติ
เราเป็นคนใหญ่เป็นคนสูงอายุ... เขาเปรียบว่าเป็นภาคบ่ายภาคค่ำ เราอย่ามัวไปเพลิดเพลินในสิ่งต่าง ๆ
การปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุธรรมมันก็ยังไม่ถูก... ยกตัวอย่างพระอานนท์เมื่อครั้งที่เขาจะทำสังคายนา ท่านก็เร่งความเพียรเพื่ออยากที่จะเป็นพระอรหันต์ ท่านทำอย่างไรก็ไม่ได้เป็นเพราะมันยังมีความอยาก ครั้นใกล้สว่างท่านก็ปล่อยก็วาง “ช่างหัวมัน” มันจะบรรลุหรือไม่บรรลุ พอปล่อยพอวางขณะล้มตัวลงนอนท่านก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ
ถ้าเราปฏิบัติธรรม ไม่ว่าโยมไม่ว่าพระ ถ้าเราต้องการบรรลุธรรมมันไม่ได้นะ ผิดพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เราฝึกปล่อยฝึกวาง... ศีลทุกข้อเน้นให้เราปล่อยวาง เน้นให้เราละความเห็นแก่ตัว
การทำสมาธิก็เหมือนกัน... ถ้าเราปฏิบัติไม่ถูกทำอย่างไรมันก็ไม่เกิด ถ้าเราปฏิบัติถูกมันก็ไม่ง่ายไม่ยาก
อริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นทางดำเนินของพระอริยเจ้า มีแต่เรื่องเสียสละ...
พระพุทธเจ้าท่านให้ทุก ๆ คนกลับมาแก้ที่จิตใจของตัวเอง กลับมาแก้ที่การกระทำของตัวเอง กลับมาแก้ที่คำพูดของตัวเอง ต้องกลับมาแก้อย่างนี้
ทุกท่านทุกคนอยากสร้างความดีอยากสร้างบารมี ส่วนใหญ่มันเน้นอามิสบูชา เน้นวัตถุสิ่งของ ทำอย่างนั้นยังไม่เท่ากับที่เรามาเน้นที่จิตที่ใจ ฝึกปล่อยฝึกวาง ประพฤติปฏิบัติบูชา...
ถ้าเราอายุมาก อายุสูงอย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านให้เราเน้นที่ใจเรานี้ ไม่ต้องเน้นการทำทานมาก ต้องเน้นเข้าถึงเจตนาที่จะปล่อยจะละ
คำว่าปล่อยวางไม่ใช่หมายถึงคนขี้เกียจนะ...
พระพุทธเจ้าท่านหมายถึงคน ๆ นั้นต้องไม่ติดขี้เกียจ ติดสุข ติดสบาย ไม่เอาความสุขทางวัตถุ ไม่เอาความสุขทางด้านร่างกาย เอาความสุขความดับทุกข์ที่จิตที่ใจมันจะได้สงบ
คนเรามีเงินเยอะมีสตางค์เยอะ ถ้าใจมันไม่สงบมันไม่มีความสุขหรอก...!
พระพุทธเจ้าท่านให้เน้นทางจิตใจกัน ถ้าไม่อย่างนั้นเราจะไปเป็นทุกข์กับสุขภาพ ลุกก็โอยนั่งก็โอย ทุกข์กับเรื่องเจ็บเรื่องป่วย
พระพุทธเจ้าท่านให้เราฉลาดขึ้น ดีขึ้น เราจะได้ไม่รับเอาทุกข์ทางกายมาทำให้ใจของเราไม่สงบ ทุกข์จากการไม่ได้ดังใจเราทำให้ใจไม่สงบ
ฝึกปล่อยฝึกวาง... เรื่องกายก็ให้เป็นเรื่องของกาย เรื่องใจก็ให้เป็นเรื่องของใจ
ทุกวันนี้เราสงสารตัวเอง มันเกิดมาจน เกิดมาเจ็บมาป่วยมาทุกข์ยากลำบาก คิดอย่างนี้พระพุทธเจ้าท่านบอกเรานะว่าเราคิดไม่ถูก เพราะว่าเราไปยึดเอาความมีความจน ยึดวัตถุภายนอก เราเอาสิ่งภายนอกเป็นเครื่องวัด อย่างนี้มันทุกข์แน่ เพราะเราไปเพิ่มความทุกข์ให้ตัวเอง เพิ่มอัตตาตัวตนให้กับตัวเองมันเลยทุกข์ทั้งทางกายทุกข์ทั้งทางใจ ทุกข์หลายต่อเพราะใจเราไปรับเอาเวทนา รับเอาสิ่งภายนอก ร่างกายของเราก็ถือว่าเป็นสิ่งภายนอกนะ เพราะร่างกายก็คือร่างกาย จิตใจก็คือจิตใจมันคนละอย่างกัน
เราเกิดมาเราก็ไม่ได้เอาอะไรมา เวลาเราละสังขารเราก็ไม่ได้เอาอะไรไป ถ้าเราคิดอย่างนี้ใจของเรามันก็สงบได้
คนรวย... พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเมื่อตายไปก็ไปเกิดในนรกเป็นส่วนมากเพราะพากันไปแบก ไปยึด ไปถือ
คนจน... ตายไปก็ไปตกนรกเป็นส่วนใหญ่ เพราะพากันไปแบก ไปยึด ไปถือ กายก็ทุกข์ ใจก็ทุกข์นะ...
พระพุทธเจ้าท่านให้เราพยายามแก้จิตใจของเรา... สิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้อย่าไปคิดมัน เช่นเราต้องการรวย มันอยากรวย คิดเท่าไหร่มันก็ยังไม่รวย อย่างนี้พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราคิด คิดไปก็บาปเปล่า ๆ
เราไม่ต้องมีปัญญาเพราะคิดมาก ท่านไม่ให้คิดก็คิดอยู่นั่นแหละ อยู่แต่ที่เก่านั่นแหละ
ถ้าเราไม่รู้จัก อวิชชาคือตัวไม่รู้มันก็เผาเรา สิ่งที่เป็นไปไม่ได้เราไปคิดมันก็ยิ่งทำให้เครียด ปัญหาต่าง ๆ มันก็ตามมา...
ฝึกปล่อยฝึกวาง อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด อะไรจะดับก็ให้มันดับ...
สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดกับชีวิตในวันนี้เราเลือกไม่ได้ มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไปเป็นธรรมดา นอกจากเราไปแบกไปยึดไปถือมันไว้ใจเราจึงเป็นทุกข์
เราสร้างเหตุสร้างปัจจัย ให้ความดีให้บารมีของเรามันแก่กล้า...
พระพุทธเจ้าท่านสอนเราว่าเราไม่ต้องอยาก ให้เรากระทำ ให้เราเสียสละ ทำหน้าที่ของตัวเอง เดินเรื่อย ๆ ตามอริยมรรคมีองค์ ๘ เหมือนนาฬิกาเดินไปทีละเล็กทีละน้อย
พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เรามีอัตตามีตัวมีตน เราต้องปฏิบัติเหมือนท่านบอกท่านสอน ถ้าเสียสละตัวเราก็มีความสุข คนอื่นก็มีความสุข
สิ่งที่ดีสิ่งที่ประเสริฐมันก็น่ากระทำหน้าประพฤติปฏิบัติ...
คนเราทั้งหลายส่วนใหญ่มันติดสุขติดสบายนะ มันไม่อยากเสียสละ ความคิดอย่างนี้มันเป็นมิจฉาทิฐิ มันเห็นแก่ตัว
พระพุทธเจ้าท่านให้เราปรับปรุงแก้ไขตัวเองใหม่ กิเลสถามเราตลอด อย่างรักษาศีลจะได้อะไร สวดมนต์จะได้อะไร ถามมีแต่จะเอา...! นั่งสมาธิจะได้อะไร เปรตอยู่ในใจของเรามีมากมายจริง ๆ มันเป็น “มหาเปรต” มันอยาก...
พระพุทธเจ้าท่านสอนเราให้ทำเพื่อเสียสละ ทำเพื่อปล่อยเพื่อวาง แต่เราก็จะทำเพื่อจะเอา เพราะว่าเราจะเอาสุขมันก็ต้องได้ทุกข์ เพราะว่าสุขกับทุกข์มันเป็นของคู่กัน “โลกธรรม” เราเอาดีชั่วมันก็มา เอากลางวันกลางคืนมันก็มา ถ้าเราเอาวุ่นวายชอบปรุงแต่งเรื่องมันก็มีมาก ยุ่งมาก เราไปวิ่งหาความสงบยิ่งอย่างไรมันก็ไม่สงบ ถ้าเราไม่หยุดวิ่งมันไม่สงบหรอกนะ...
พระพุทธเจ้าท่านสอนเราให้รักษาศีลให้ดี ๆ จะได้ปล่อยได้วาง ให้ทำสมาธิดี ๆ จะได้ปล่อยได้วาง ทำวัตรสวดมนต์ดี ๆ จะได้ปล่อยได้วาง เดินจงกรมดี ๆ จะได้ปล่อยได้วาง เราทำการงานในชีวิตประจำวันเราจะได้ปล่อยได้วาง
เราอย่าไปคิดว่างานหนัก ถ้าเราไปคิดว่างานหนัก หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินเกี่ยวข้องกับคนโน้นคนนี้ ถ้าเราคิดอย่างนี้คิดไม่ถูกนะ...
มีเหตุที่จะได้ไปก็ต้องไป มีเหตุที่จะได้อยู่ก็ต้องอยู่ มีเหตุที่จะเสียสละ จะได้ปล่อยได้วางก็ต้องทำ
เวลานอนมันก็ไม่อยากตื่น... พระพุทธเจ้าท่านให้เราบังคับตัวเองให้ตื่น เวลานั่งสมาธิมันคอยแต่จะพักผ่อน คอยแต่จะหลับ เราก็ไม่มีโอกาสทำสมาธิ เราเอาเวลาทำสมาธิไปนั่งหลับ ไปนั่งพักผ่อนอยู่นั่นแหละ...
พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เรายกจิตใจเหนือเวทนา อย่าให้เวทนามันครอบงำ ให้ใจของเราเบิกบานสว่างไหวไว้ฝึกจิตใจของเรา
คนเรานั่งทั้งคืนถ้าใจว่าไม่ทุกข์มันก็ไม่ทุกข์หรอกนะ... ที่มันทุกข์เพราะเราไปคิดเอา มันสุขก็เพราะเราไปคิดเอา มันเจ็บแข้งเจ็บขาก็เพราะเราไปคิดเอา เราไปแบกเอาสุขเอาทุกข์เลยท้อใจ เลยกลัวความเหนื่อย รักษาศีลหลายข้อก็กลัว ทำวัตรสวดมนต์ก็กลัว นั่งสมาธิก็ยิ่งกลัว เพราะใจของเราเป็นมิจฉาทิฐิ มันแบกอัตตาตัวตน แบกอารมณ์นั้นไว้...
พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เรากลัวอะไรนะ ถ้าเรากลัวเราก็ไม่ได้ปฏิบัติ
อย่าไปกลัว... คนเรามันกลัว เห็นคนไม่ถูกชะตา เห็นคนไม่ชอบมันเดินผ่านก็กลัวไม่อยากพบไม่อยากเจอ
พระพุทธเจ้าท่านสอนอย่าให้หนีสัจธรรมความจริง อย่าไปวุ่นวาย พยายามแก้ไขตนเอง เพราะใจของเรายังเป็นหนี้สินอยู่ มีอัตตาอยู่มาก ให้ใช้หนี้สินด้วยการประพฤติปฏิบัติ ถอนอัตตาตัวตน ถอนอวิชชาออกจากจิตจากใจ
ถือว่าเราทุกคนโชคดีนะ จะได้ประพฤติปฏิบัติฝึกตน ถ้าเราไม่ได้ประพฤติปฏิบัติอย่างนี้ ไปเน้นทางภายนอกเน้นทางวัตถุ เราก็ไม่มีโอกาสได้บรรลุธรรมเพราะเราปฏิบัติไม่ถูก...
พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่องค์พ่อแม่ครูอาจารย์เมตตาให้นำมาบรรยาย
ค่ำวันศุกร์ที่ ๒๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๖
ฝึกปล่อยฝึกวาง อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด อะไรจะดับก็ให้มันดับ...
สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดกับชีวิตในวันนี้เราเลือกไม่ได้ มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่
แล้วก็ดับไปเป็นธรรมดา
นอกจากเราไปแบกไปยึดไปถือมันไว้ใจเราจึงเป็นทุกข์
เราสร้างเหตุสร้างปัจจัย ให้ความดีให้บารมีของเรามันแก่กล้า...
พระพุทธเจ้าท่านสอนเราว่าเราไม่ต้องอยาก ให้เรากระทำ ให้เราเสียสละ ทำหน้าที่ของตัวเองเดินเรื่อย ๆ ตามอริยมรรคมีองค์ ๘ เหมือนนาฬิกาเดินไปทีละเล็กทีละน้อย
อย่าไปกลัว...
พระพุทธเจ้าท่านสอนอย่าให้หนีสัจธรรมความจริง อย่าไปวุ่นวาย
พยายามแก้ไขตนเอง เพราะใจของเรายังเป็นหนี้สินอยู่ มีอัตตาอยู่มาก
ให้ใช้หนี้สินด้วยการประพฤติปฏิบัติ ถอนอัตตาตัวตน
ถอนอวิชชาออกจากจิตจากใจ
......................................
กราบขอบพระคุณมากค่ะ
คำว่าปล่อยวาง ฝึกใช้มากๆเข้า มันก็ทำให้เราชิน ชา จนตอนนี้ใครบางคนคงคิดว่า หัวใจด้านชา
แต่หารู้ไม่ ว่าข้างในมันยังคงไหวติง ไม่ได้นิ่ง สงบ ไปเสียทีเดียว อิอิ