วันนี้มีเรื่องให้ได้คิดอีกครับ เมื่อผมเจอได้ภาพนี้มาจาก Facebookเป็นภาพที่ผมได้มาจากดร.กิตติ มโนคุ้น
ครับ เป็นภาพและคำคมขององค์ดาไลลามะที่คนทั้งโลกให้ความเคารพครับแล้วเลยทำให้ผมได้เชื่อมโยงกับเรื่องราวในหนังสือเล่มหนึ่ง คือ Rules of Thumb: 52หลักพื้นฐานเพื่อเอาชนะเกมการงานและเกมชีวิต จัดพิพม์โดยสำนักพิมพ์มติชนหนังสือเล่มนี้เขียนโดยคนที่ประสบความสำเร็จในการจัดทำวารสารด้านธุตรกิจที่โด่งดังมากคือหนังสือFast Comapy (ฟาสต์ คอมปานี่) เอาหล่ะครับ หนังสือเล่มนี้ผมตามอ่านจบจบแล้วก็ประทับใจมากๆ ในหลายๆตอน แต่ตอนที่ทำให้ได้คิดที่สุดคือตอนหนึ่งที่ว่าด้วย“คำถามสุดท้าย”
มีการพูดถึงสงครามเวียดนามครับว่าเป็นสงครามที่อเมริกันรบชนะในแทบทุกสมรภูมิน้อยใหญ่ แต่ที่สุดกลับแพ้สงครามครับอะไรกัน รบชนะ แต่แพ้สงคราม นี่แหละครับ น่าคิดผู้เขียนเองได้สังเคราะห์งานของนักยุทธศาสตร์ ที่ทำวิจัยเรื่องสงครามเวียดนามต่างพูดออกมาคล้ายกันครับ ว่าอเมิรกันรบชนะ แต่แพ้สงคราม เพราะอะไรเพราะไม่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันครับ ที่จะนิยามให้ได้ว่า“คำว่าชนะสงครามนั้น ภาพสุดท้ายอยู่ตรงไหน นิยามของมันคืออะไร” เมื่อไม่มีนิยามว่า“คำว่าชนะสงครามคืออะไร”
ผลก็คือการวางแผนการรบก็ไปคนละทางการวางกำลังก็ไปคนละเรื่อง ที่สุดถึงจะรบชนะในหลายสมรภูมิ แต่ ก็สิ้นเปลืองทรัพยากรทั้งการเงินการทหารมากเกินไป ที่สุดในภาพรวมเลยการเป็นแพ้ครับ กลายเป็นภาพหลอนประเทศมหาอำนาจในทุกวันนี้
ผมว่าคำคมของท่านดาไล ลามะนี่พูดไว้ชัดเจนถึงมนุษยชาติครับที่ไม่ยอมตอบคำถามสุดท้ายกันเสียก่อน เราจึงใช้ชีวิตกันแปลกๆ ครับผมเองตอนไปบวชก็ด้วยคำพูดของเพื่อนคนหนึ่ง ที่พูดตรงกับท่านอาจารย์วรภัทร์ครับว่า“แน่ใจเหรอ ว่าชาติหน้าจะได้เกิดเป็นมนุษย์อีก นี่แหละครับ ทำผมสะดุดกึ๊ก และเป็นแรงผลักดันบางอย่างที่ผมต้องตอบโจทย์เรื่องนี้ ผ่านการไปบวชกว่าสามเดือนและผมว่าคำถามนี้เป็นคำถามสุดท้าย คำถามหนึ่งที่ชาวพุทธควรถามตัวเองครับ”
ไม่งั้นเราอาจอยู่ติดวังวนของความคิด การกระทำอะไรบางอย่าง ล้างผลาญตัวเองคนรอบข้างและสังคมอย่างไม่มีที่สิ้นสุดครับ ล่าสุดเมื่อวันก่อน ก็มีโอกาสครับน้องของลูกศิษย์เรียนมาหลายปีจบตรี จบโทแล้ว ก็เกิดอยากไปเรียนป.ตรีในสายการแพทย์ใหม่ ด้วยเหตุผลว่า “อยากมีรายได้สูงๆ” เรื่องนี้เราเลยสนทนากันครับว่าถ้าว่าตามชาวพุทธแแล้ว คุณคนนี้อาจยังไม่ได้ตอบคำถามสุดท้ายของตนเองครับ” ยังไม่พอยังไม่ต้องไกลครับทางตะวันตกมีมาสโลว์ครับ เอาง่ายๆ ผมสรุป Maslow ลดขั้นตอนมาสามขั้นง่ายๆ ครับพื้นฐานที่สุดมนุษย์ต้องการสนองเรื่องของของตัวเองครับขั้นสูงต่อมาถ้าพอแล้วก็มาเรื่องของการยอมรับจากผู้อื่น สูงสุดที่ควรทำคือ“ค้นพบตัวเอง” ครับ
Cr: http://en.wikipedia.org/wiki/Maslow's_hierarchy_of_needs
ถ้าคุณไม่ตอบคำถามสุดท้าย ไม่นิยามว่า “คำว่าชัยชนะในสงครามคืออะไร”คุณจะเผลอติดอยู่กับสองอย่างแรกครับ เรียกว่าจนแก่ก็หาความสุขในชีวิตได้อยากเพราะทำในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวคุณเองมาตลอด บางคนทำอะไรไปเพื่อเพราะอยาากมีรายได้สูงก็เปลี่ยนงานไปเรื่อย เริ่มต้นใหม่ไปเรื่อย ก็กลายเป็นคนจับจดในเมื่อการรบของคุณคือการเงิน ทิศทางคือเงินหมายครั้งถ้าโชคไม่ดีก็ยากจะลืมตาอ้าปาก หรือลืมได้ก็อาจผลักตัวเองไปขั้นที่สองแสวงหาการยอมรับมันจะได้ได้เงินได้พวก ได้ความมั่นคงมากยิ่งขึ้นไปอีก คุณก็อาจต้องไปเปิดสนามรบในสนามกอร์ฟต่อไปอีกเพื่อให้คนมายอมรับคุณต่อไป แล้วถ้าไม่ทันฉุกคิด ที่ตามมาอาจเป็นบ้านแตกสาแหรกขาดรบนอกบ้านเสร็จแล้ว ยังมารบในบ้านต่อ ถ้าแรงหน่อย “อาจไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์อีก”
จริงๆแล้วผมก็มองเห็นครับว่าผมเชื่อว่าปัญหาในสังคมมนุษย์นี้ ที่ขัดแย้งกันตั้งแต่เรื่องทำมาหากิน (หากันเข้าไปไม่พอสักที)ทีพอแล้วก็เริ่มก้าวข้ามไปหาการยอมรับ ใครไม่ยอมรับข้า ถือว่าอยู่คนละขั้ว ที่สุดนำมาสู่การแบ่งสีแบ่งข้างก็เพราะคนส่วนใหญ่ ไม่ตอบคำถามสุดท้ายกันก่อนครับสังคมเราไม่ค่อยช่วยให้ใคร “ค้นพบ” ตัวเองเท่าไหร่ เรากลัว “อดตาย” กับกลัว“คนอื่นไม่ยอมรับ” กันมากครับ ที่สุดเราจึงเห็นแต่ความโกลาหน เต็มไปหมดและอย่างที่องค์ดาไลลามะ ตรัสไว้ท่านสะท้อนภาพความไร้แก่นสารของมนุษย์ส่วนใหญ่ได้ดีทีเดียว
เอ๊าอาจารย์ ไหง พูดเรื่องลบละ อาจารย์น่าจะพูดเรื่องบวกๆ นะ ใจเย็นครับกำลังจะบวกแล้ว จริงๆ Appreciative Inquiry เราคือกระบวนการค้นหาร่วมกันครับว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดที่ซ้อนเร้นอยู่ในระบบ เราคค้นหาเรื่องดีๆเพื่อเอามาขยายให้มันดีครับ เรื่องนี้คุณอาจพลิกเป็นดี ก่อนแก่ตาย (โหดอีกหน่อยแล้วไม่ได้เกดมาเป็นคนอีก) ได้ครับ มาเริ่มกัน
ลองหาคนต้นแบบไกล้ตัว คนที่คุณเห็นกับตาว่าคนพบตัวเองครับคนแรกคืออาจารย์จงจิต อรรถยุกติ ท่านเป็นคนมหัศจรรย์ครับท่านเป็นนายกสมาคมนักแปลและล่ามแห่งประเทศไทย
รู้จักมาสิบกว่าปีแล้วครับ ตลอดเวลาเห็นความสุขในชีวิตท่านมากๆเพราะท่านรักการแปลมากๆ เนื่องจากการแปลเป็นอะไรที่ผู้แปลต้องใช้ศัพท์เฉพาะในแต่ละวงการครับ ทำให้ต้องเรียนรู้ความรู้ใหม่ๆ ตลอดเวลาคุณจะพบว่าอาจารย์ที่อายุ 76 แล้ว แล้วยังมีดวงตามแจ่มใส กระตือรือร้น อ่านหนังสือและค้นหาความรู้ใหม่ๆ ตลอด เท่าที่ผมรู้จัก ท่านทำแบบไม่ได้สนใจการยอมรับจากใครเพียงเพราะมีความสุขกับการแปลและความรู้เท่านั้นครับ ถามว่าได้เงินไหมได้ได้รับการยอมรับไหมได้ 70ท่านเป็นนายกสมาคมและล่ามแห่งประเทศไทย
มาคนที่สองอาจารย์ดร.ช่อ วายุภักษ์ ปัจจุบันท่านเกษียณแล้วแต่มารับตำแหน่งเป็นอาจารย์ประจำที่ MBA มหาวิทยาลัยขอนแก่นเป็นนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ที่มีความสุขมากๆ ท่านจะชอบเข้ามานั่งดื่มกาแฟแล้วแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับอาจารย์รุ่นน้อง ท่านมีความเป็นอาจารย์จริงๆเกษียณแล้วก็มานั่งทำงานวิชาการที่ชอบ มาอ่านหนังสือมาคุย เรียกว่าท่านหลงไหล (มีPassion แพสชั่น) ในวิชาเศรษฐศาสตร์จริงๆ ผมเองนั่งคุยกับท่านมา 6-7 ปีก็ชอบความใจกว้างอารมณ์ดีแบบนักเศรษฐศาสตร์ของท่านผมว่าท่านเป็นนักปราชญ์คนหนึ่งทีเดียว ถามว่ามีความสุขไหม มีมากๆเป็นอาจารย์ผู้ใหญ่ ที่มีคนแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนอยู่เสมอ มีรายได้ได้รับกาารยอมรับ ผมว่าถ้าพูดตามหลักมาสโลว์ครับ สองท่านนี้ได้ตอบ “คำถามสุดท้าย”ของชีวิตได้ดีมากๆ และด้วยระยะเวลาหลายปีที่รู้จัก ก็เห็นความสุขการได้รับการยอมรับ แบบไม่ต้องแสวงหา ใช้เวลามากกับคนอื่นที่สำคัญมีรายได้ดูแลครอบครัว เรียกว่า “เศรษฐกิจพอเพียง” ที่สุขมากๆ จริงๆ
ในมิติขององค์กรแห่งการเรียนรู้เราเรียกว่าทั้งสองท่านมี Personal Mastery (เพอร์ซันนอล มาสเตอรี่ย์) ทั้งสองท่านค้นพบ "จุดประสงค์ของการมีชีวิตอยู่" คือค้นพบตัวเองจริงๆ ไม่ใช่ทำเพื่อรายได้และการยอมรับ แต่ทำเพราะความรักในสิ่งที่ตนทำจริงๆ ที่สุดเมื่อค้นพบ คุณก็จะเรียนรู้ขยายจุดแข็งอย่างไม่มีวันเหน็ดเหนืื่อย ความสามารถของคุณจะเติบโต อย่างมีทิศทาง และส่งผลเรื่องรายได้และการยอมรับที่ตามมาเองครับ
ในทาง Appreciative Inquiry คุณอาจช่วยตัวคุณเองและคนในองค์กรค้นหาความหลงไหลPassion ที่นั่นเองคือ Self Actualization ได้ ด้วยการตั้งคำถามดีๆแล้วพากันตอบครับว่า “ให้ลองนึกถึงเหตุการณ์ที่คุณภาคภูมิใจที่สุด เหตการณ์นั้นคืออะไรเล่าให้ละเอียดฉากต่อฉากอะไรคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้เรื่องนั้นกลายเป็นความภาคภูมิใจ” แล้วกระตุ้นให้คนค้นหาขยายเรื่องราวที่ภาคภูมิใจออกมาครับ เรื่องราวนั้นอาจกลายเป็น Passionที่จะทำให้เกิดการยกระดับเป็นคำถามสุดท้าย ทำให้ตัวคุณเองรู้จักนิยามสงครามของคุณเองจะทำให้คุณไม่เสียเวลาไปรบกับใคร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรายได้ หรือการยอมรับที่อาจไม่ใช่สมรภูมิที่แท้จริงของคุณครับ ผมเองก็ค้นพบการทำ Appreciative Inquiryคือ Passion ในชีวิตครับ ผมเองก็มีความสุขทั้งในชั่วโมง ทำงานนอกเวลาทำงานเป็นชีวิตจิตใจของผม ทำให้มีความสุข
ตอนทำปริญญาเอกก็ชิลล์ครับ มันมีความสุขไม่กดดัน ยิ่งค้นก็สนุก ทำก็สนุก ก็กลายเป็นงานสอนงานบรรยาย ได้รับการยอมรับ มีรายได้ ไม่ต้องไปรบกับใครครับ เพราะผมรักของผมมีคนเรียนสามสิบคน ชอบแค่คนเดียวก็มีความสุขแล้วครับ ที่สำคัญเห็นลูกศิษย์ไปใช้ในทางการแพทย์ในโรงพยาบาลก็ยิ่งภูมิใจ เมื่อปีก่อนมีกลุ่มชาวบ้านที่ไหนไม่รู้เขียนจดหมายมาขอบคุณ เพราะพวกเขาตั้งกลุ่มแม่บ้านแกะกุ้งแล้วก็พากันหาข้อมูลว่าจะแกะยังไงให้ดี มาเจองานของลูกศิษย์ผมที่เอา AIไปเพิ่มผลผลิตในโรงงานแกะกุ้ง แล้วลูกศิษย์ผมเขาบรรยายถึงขั้นตอนที่ไม่ดีกับขั้นตอนการแกะกุ้งที่พัฒนาขึ้นใหม่อย่างละเอียดเขาบอกว่าเลยเห็นตัวอย่างชัดเลย ทำให้พวกเขาเริ่มอาชีพแบบมีความสุขนี่ไงครับผลจากการทำงานจากสิ่งที่คุณรัก คุณมีความสุขผมทราบมาสักพักใหญ่แล้วครับว่า “สงครามของผมคืออะไร”
เอาหล่ะครับตอบคำถามสุดท้ายของคุณหรือยัง จะได้รบชนะในสงครามชีวิตครับและสำหรับชาวพุทธ เรายังมีสงครามข้ามภพชาติอีกครับก็อาจลองพิจารณาตั้งคำถามตัวเองดูว่า “คุณคิดว่าจะได้เกิดเป็นมนุษย์อีกไหมครับ”
เพียงเล่าให้ฟังลองพิจารณาดูนะครับ
ปล. คุณอาจแย้งว่า "จะบ้าเหรออาจารย์ แล้วเอาจะเอาอะไรกิน" อย่าตกใจครับ ลองดูแนวคิดทำอะไรให้มันเป็น Serious Hobby (ซีเรียส ฮ๊อบบี้) และ ทฤษฎี 10,000 ชั่วโมง ครับ ผมเคยเขียนไว้แล้ว คุณจะเห็นความเป็นไปได้ขึ้นมาเองครับ จะเห็นวิธีการ ระยะเวลาครับ ไม่นาน และไม่ยากเกินไป มีอะไรกินแน่นอน แล้วดีกว่าด้วย ยืนยันครับ
ทฤษฎีมาสโลว์ ใช้ได้ทุกวงการค่ะ
กำลังค้นหาคำตอบของคำถามสุดท้ายในชีวิตอยู่ค่ะว่า ใช่ จริงหรือนั่น^___^
เป็นบันทึกที่ทำให้ความสุขของมนุษย์เกิดขึ้นตามหลักความจริงของธรรมชาติ ขอบคุณมากครับผม
ผมต้องย้อนมองหา "คำถามสุดท้าย" ใหม่แล้วสิครับ อ่านแล้วได้แนวความคิด ๆ ดี ๆ มากมายเลยครับ ขอบคุณครับ