ด้วยวิทยาลัยสงฆ์พะเยา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตพะเยา ได้ตระหนักถึงพันธะกิจของมหาวิทยาลัยในส่วนของการผลิตบัณฑิตและการบริการวิชาการแก่สังคม และได้ตระหนักถึงหน้าที่ในการผลิตบัณฑิตให้มีคุณภาพที่พึงประสงค์ มีความรู้เกี่ยวกับวิชาการทางพระพุทธศาสนา เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ และสามารถนำความรู้ไปเผยแพร่เพื่อนำไปประยุกต์ใช้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๔๐ มาตรา ๖ วรรค ๒ ความว่า ให้มหาวิทยาลัยเป็นสถานศึกษาและวิจัย มีวัตถุประสงค์ให้การศึกษาวิจัย ส่งเสริม และให้บริการวิชาการพระพุทธศาสนาแก่พระภิกษุสามเณรและคฤหัสถ์ รวมทั้งการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม
และพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๓๐ ให้สถานศึกษาพัฒนากระบวนการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งการส่งเสริมให้ผู้สอนสามารถวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียน ในแต่ละระดับการศึกษา ดังนั้น วิทยาเขตพะเยา จึงได้ตระหนักและตอบสนองพระราชบัญญัติดังกล่าว โดยการจัดทำประชุมสัมมนา เรื่อง การทำวิจัยชั้นเรียน โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มาเป็นพิธีกรบรรยาย เพื่อให้ความรู้แก่คณาจารย์ของวิทยาเขตพะเยา เพื่อส่งเสริมให้คณาจารย์มีความรู้เกี่ยวกับการวิจัยในชั้นเรียน และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
วิชาพุทธวิธีการบริหารงานเป็นวิชาที่พระนิสิตสาขาวิชาการจัดการเชิงพุทธ วิชาเอกการจัดการเชิงพุทธ ชั้นปีที่ ๔ เป็นวิชาพระพุทธศาสนาประยุกต์ จำนวน ๒ หน่วยกิต เพื่อให้พระนิสิตได้ทราบถึงกระบวนการเรียนการสอนของวิชาพุทธวิธีการบริหารงานในแง่มุมต่าง ๆ เช่น ได้ทราบถึงแนวคิดและทฤษฎีหลักการบริหารงาน การนำหลักพุทธธรรมมาประยุกต์ในการแก้ปัญหาสำคัญของสังคม วิเคราะห์ คุณค่าของพุทธธรรมและคุณค่าของวิชาการบริหารในเชิงเปรียบเทียบ
การวิเคราะห์ปัญหาการจัดการเรียนการสอนวิชาพุทธวิธีการบริหารงานโดยแบ่งสาเหตุของปัญหาไว้ ๓ ระดับคือ ปัญหาด้านหลักสูตร ปัญหาด้านผู้เรียน และปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ดังนั้นปัญหาการเรียนการสอนดังกล่าวจึงเป็นเรื่องที่จะต้องศึกษาและแก้ไขให้กระจ่างชัด เพื่อนำผลการศึกษาเหล่านั้นมาพัฒนากระบวนการการสอนดังกล่าว โดยใช้หลักของอริสัจ ๔ มาแก้ปัญหา[1] ซึ่งแบ่งออกเป็น ๒ ระดับ คือ
๑. ระดับทฤษฎี แบ่งออกเป็น ๓ ขั้นตอน คือ
๑.๑ ขั้นกำหนดปัญหา ได้แก่ การทำเข้าใจว่าปัญหาการเรียนการสอนคืออะไร อยู่ที่ไหน และมีขอบเขตอย่างไร
๑.๒ ขั้นสืบสาวหาสาเหตุ คือหยั่งหาสาเหตุของปัญหาหรือ ปัญหาเกิดจากอะไร
๑.๓ ขั้นตั้งสมมติฐาน คือให้เห็นกระบวนการที่แสดงว่าการแก้ปัญหาเป็นไปได้และอย่างไร
๒. ขั้นการเฟ้นหามรรค ซึ่งแยกออกเป็น ๓ ขั้นตอน
๒.๑ เอสนา คือ ขั้นตอนการแสวงหาข้อพิสูจน์ หรือขั้นทดลอง ขั้นวิจัยและการเก็บข้อมูล
๒.๒ วิมังสา คือ ขั้นวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อทำการตรวจสอบว่าใช้ได้จริงหรือไม่เพียงใด
๒.๓ อนุโพธ คือ ขั้นสรุปผลการวิเคราะห์ ซึ่งจะเป็นการตัดสินสิ่งที่ผิดออกไป เลือกมรรคที่แท้ที่จะนำไปสู่ผล คือ การแก้ปัญหาการเรียนการสอน
จากการวิเคราะห์ปัญหาการจัดการเรียนการสอนอันเกิดมาจากสาเหตุของปัจจัยด้านหลักสูตร ปัจจัยด้านตัวผู้เรียน และปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมดังกล่าว หากวิเคราะห์ให้ลึกลงไปจะพบว่าเป็นการวิเคราะห์ปัญหาการจัดการเรียนการสอนที่สามารถแก้ไขได้โดยใช้หลักอริยสัจ ๔ มาประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาให้เป็นรูปธรรม เพื่อนำไปพัฒนาการจัดการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ จากการศึกษาวิเคราะห์แล้ว พบว่า เกิดจากปัญหาดังต่อไปนี้ คือ
๑.ปัญหาด้านหลักสูตร (ทุกข์)
๑.๑ อาจารย์เน้นการสอนด้านเนื้อหามากกว่าด้านกระบวนการเรียนรู้
๑.๒ อาจารย์ไม่ส่งเสริมให้พระนิสิตได้ศึกษาค้นคว้าคำตอบหรือแก้ปัญหาด้วยตนเอง
๑.๓ อาจารย์ขาดวิธีการสอนที่หลากหลาย ที่สามารถเรียนรู้จากแหล่งความรู้ สื่อ อุปกรณ์และวิธีการต่าง ๆ
๑.๔หลักสูตรไม่ครอบคลุมเนื้อหาและกว้างขวางเพียงพอ และไม่สอนตามแผนการสอน
๒. การแก้ปัญหา (สมุทัย)
๒.๑การสอนด้วยการลงมือกระทำ (learning by doing)
๒.๒การสอนด้วยกิจกรรมและประสบการณ์แทนหนังสือหรือพูดให้ฟังเพียงอย่างเดียว
๒.๓การสร้างทักษะในการวิเคราะห์เนื้อหาเพื่อความเข้าใจด้วยวิธีการตั้งคำถาม
๒.๔ การสร้างเรื่อง หรือหาบทความที่ไม่มีในหนังสือมาวิเคราะห์
๒.๕ ใช้สื่อการสอนประกอบ (power point) และสอนตามแผนการสอนที่วางไว้
๓. ขั้นวิเคราะห์ข้อมูล (นิโรธ)
๓.๑ การวัดผลและเมินผลการเรียนรู้
๓.๒ บันทึกผลหลังการสอน
๔. ขั้นสรุปและรายงานผล (มรรค)
- การพัฒนา การปรับปรุง และการแก้ไขปัญหา
๒. อภิปรายผล
๒.๑ ปัญหาด้านหลักสูตร : (ทุกข์)
๑.มีเนื้อหาไม่ครอบคลุม และกว้างขวางเพียงพอ
๒.การเรียนการสอนไม่เป็นไปตามแผนการสอนที่กำหนดไว้
๓.เวลาการเรียนการสอนน้อยเกินไป อาจารย์ควรจะมีเวลาสอนให้มากกว่านี้ควรสอนตามขั้นตอนและแผนการสอนที่กำหนดไว้
๔.ให้เพิ่มการค้นคว้างานในเอกสารตำราต่าง ๆ และให้ส่งใบงานหรือรายงานการให้ผลการเรียนควรให้แต่ละบทให้มากกว่านี้
๕. มีความรู้พื้นฐานทางด้านศัพท์ภาษาบาลีน้อย ไม่ค่อยจะเข้าใจศัพท์ธรรมะบางศัพท์ที่มีความลึกซึ้งมากเกินไป
๖. ผู้บริหารขาดปฏิสัมพันธ์กับพระนิสิต ผู้บริหารที่เป็นอาจารย์ ควรจะอุทิศเวลาให้การเรียนการสอนให้มากกว่านี้
๗. ห้องเรียน ห้องน้ำ ต้องปรับปรุงเร่งด่วน น้ำดื่มไม่ค่อยจะสะอาด และมีไม่เพียงพอ
๘.สื่อการเรียนการสอนในห้องเรียนไม่ได้รับการดูแล สื่อบางอย่างไม่ทันสมัยควรเพิ่มสื่อการสอนที่หลากหลายให้มากกว่าน
๒.๒ สาเหตุด้านหลักสูตร (สมุทัย)
๑. เนื้อหาของหลักสูตรวิชาพุทธวิธีการบริหารงาน มีความครอบคลุมเนื้อหา และกว้างขวาง เพียงพอ
๒.จำนวนหน่วยกิต ๒ หน่วยไม่มากและไม่น้อยเกินไป
๓.มีความพึงพอใจในกระบวนการเรียนสอนของอาจารย์
๔.อาจารย์ผู้สอน มีความเข้าใจเนื้อหา มีความรู้ ความสามารถในการถ่ายทอด และมีความตั้งใจในการสอน เพื่อมุ่งหวังพัฒนาพระนิสิต ให้เป็นบุคลากรทางพระพุทธศาสนาที่มีคุณค่ายิ่ง
๒.๓ การแก้ปัญหาเกี่ยวกับหลักสูตร (นิโรธ)
๑.เน้นการพัฒนาปรับปรุงหลักสูตรให้มีคุณภาพและทันสมัย
๒.พัฒนาหลักสูตรให้ส่งเสริมการเรียนการสอนแบบบูรณาการ
๓.การเน้นพระนิสิตเป็นสำคัญ
โดยอาจารย์คำนึงถึงคุณค่าที่พระนิสิตจะได้รับเป็นหลักและเอื้อประโยชนต่อพระนิสิตให้มากที่สุด
๔.กำหนดคุณลักษณะของพระนิสิตที่พึงประสงค์เพื่อนำไปสู่เป้าหมายการผลิตที่ชัดเจนและมีคุณภาพ
๕.การปลูกฝังและพัฒนาทักษะทั้งทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
ด้านภาษาและด้านการสื่อสารให้กับพระนิสิต
๖.การปลูกฝังและพัฒนาทักษะทางด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
การวิเคราะห์
๗.การปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม
โดยวิธีการสอดแทรกในการเรียนการสอน
๘.มีการกำหนดภาระงานที่เหมาะสมและชัดเจน
ได้แก่ การสอนการวิจัย การให้บริการทางวิชาการและการทำนุบำรุงส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม
๙.มีการประเมินการสอนของอาจารย์ โดยการเน้นการประเมินเพื่อพัฒนาและปรับปรุงการสอนของอาจารย์ให้มีประสิทธิภาพ
๑๐.ส่งเสริมให้อาจารย์ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาการเรียนการสอน
โดยการกำหนดเป็นภาระงานที่จะต้องปฏิบัติและจัดสรรงบประมาณสนับสนุนตลอดจนอำนวยความสะดวก
รวมทั้งจัดหามาตรการที่จะช่วยกระตุ้น จูงใจในการดำเนินการวิจัย
๓.สรุปผล (มรรค)
๑.มีการพัฒนาปรับปรุงหลักสูตรให้มีคุณภาพและทันสมัยพัฒนาหลักสูตรให้ส่งเสริมการเรียนการสอนแบบบูรณาการ
๒.เน้นการเรียนการสอนของพระนิสิตเป็นสำคัญโดยอาจารย์คำนึงถึงคุณค่าที่พระนิสิตจะได้รับเป็นหลักและเอื้อประโยชนต่อพระนิสิตให้มากที่สุด
๓.กำหนดคุณลักษณะของพระนิสิตที่พึงประสงค์เพื่อนำไปสู่เป้าหมายการผลิตที่ชัดเจนและมีคุณภาพ การปลูกฝังและพัฒนาทักษะทั้งทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
ด้านภาษาและด้านการสื่อสารให้กับพระนิสิต
การปลูกฝังและพัฒนาทักษะทางด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณ การวิเคราะห์
และการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมโดยวิธีการสอดแทรกในการเรียนการสอน
๔.มีการกำหนดภาระงานที่เหมาะสมและชัดเจน ได้แก่
การสอนการวิจัย การให้บริการทางวิชาการและการทำนุบำรุงส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม
มีการประเมินการสอนของอาจารย์ โดยการเน้นการประเมินเพื่อพัฒนาและปรับปรุงการสอนของอาจารย์ให้มีประสิทธิภาพ
๕.ส่งเสริมให้อาจารย์ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาการเรียนการสอน
โดยการกำหนดเป็นภาระงานที่จะต้องปฏิบัติและจัดสรรงบประมาณสนับสนุนตลอดจนอำนวยความสะดวก
รวมทั้งจัดหามาตรการที่จะช่วยกระตุ้น จูงใจในการดำเนินการวิจัย
ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัย เรื่อง [2]การปรับปรุงการสอนรายวิชาการวิจัยในชั้นเรียน โดยใช้รูปแบบการวิจัยปฏิบัติในชั้นเรียนตามแบบจำลองคุณภาพ
รูปแบบการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนตามแบบจำลองคุณภาพ ประกอบด้วยแนวคิดของการวิจัยในชั้นเรียน การวิจัยปฏิบัติการกับแบบจำลองคุณภาพ
การวิจัยในชั้นเรียนเป็นการวิจัยที่มุ่งแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นในชั้นเรียน อาจใช้ระเบียบวิธีการวิจัยเชิงปริมาณ การวิจัยเชิงคุณภาพหรือการวิจัยเชิงปฏิบัติการก็ได้[3] ส่วนการวิจัยปฏิบัติการเป็นการวิจัยที่ดำเนินการโดยผู้ปฏิบัติงาน เพื่อตรวจสอบผลการปฏิบัติของตนและแสวงหาแนวทางในการปรับปรุงให้การปฏิบัติงานนั้นดีขึ้นกว่าเดิม [4] การวิจัยปฏิบัติการเป็นกระบวนการแก้ปัญหาขั้นตอนตามวงจรคุณภาพแบบ P-D-C-A ที่อาจารย์ผู้สอนดำเนินการในชั้นเรียนอย่างต่อเนื่องในรูปของเกลียวสว่าน(spiral) ขณะที่การวิจัยปฏิบัติการดำเนินการไปในแต่ละรอบ ปัญหาการเรียนรู้ก็จะรับการแก้ไขและคุณภาพการเรียนรู้จะได้รับการปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันอาจารย์ผู้สอนเองก็ได้เรียนรู้วิธีการปฏิบัติการสอนของตนและปรับปรุงวิธีปฏิบัติการสอนของตนให้ดีขึ้นอย่างตลอดเวลาเช่นกัน แบบจำลองคุณภาพเป็นแบบจำลองการวิจัยที่ผู้วิจัยนำมาจากแนวคิดของเทคนิคการควบคุมคุณภาพ(Quality Control Circle : QCC) ที่ขยายวงจรการแก้ปัญหาแบบ PDCA ให้มีวิธีปฏิบัติการแก้ปัญหาที่เป็นระบบ มีขั้นตอนและเป็นวิทยาศาสตร์ จนสามารถนำมาใช้พัฒนาคุณภาพได้ดีและสามารถประยุกต์วิธีการดังกล่าวมาใช้พัฒนาคุณภาพของสินค้าและบริการต่างๆ รวมถึงการเรียนรู้ในชั้นเรียนได้ เทคนิคการควบคุมคุณภาพดังกล่าวได้รับการพัฒนาขึ้นให้ประกอบด้วย(ก)กิจกรรมการวิจัย ๗ ขั้นตอน (ข)เครื่องมือการวิจัย ๗ ชนิด และ(ค)เรื่องราวการวิจัย ๗ ตอน[5]
กล่าวโดยสรุปว่า การวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนตามแบบจำลองคุณภาพ เป็นรูปแบบการวิจัยการวิจัยในชั้นเรียนแบบหนึ่งที่ใช้รูปแบบของการวิจัยปฏิบัติการร่วมกับแบบจำลองคุณภาพ ที่พัฒนาขึ้นเพื่อมุ่งให้เป็นรูปแบบใหม่ของการวิจัยในชั้นเรียนสำหรับอาจารย์ เพื่อให้อาจารย์ได้ริเริ่มปฏิบัติการวิจัยในชั้นเรียนด้วยรูปแบบการวิจัยที่ง่าย สะดวก เป็นขั้นเป็นตอน ไม่ยุ่งยากและเป็นภาระทางการสอน และสามารถช่วยแก้ไขปัญหาในชั้นเรียนแก่ผู้เรียนได้ทันท่วงทีเมื่อการวิจัยนั้นเสร็จสิ้นลง ผู้วิจัยคาดหวังว่า เมื่ออาจารย์สามารถวิจัยในชั้นเรียนได้แล้ว เขาจะเกิดการเรียนรู้และพัฒนารูปแบบการวิจัยนี้ไปให้กว้างขวาง ลึกซึ้งและมั่นคงมากขึ้นกว่าเดิมได้ด้วยตัวอาจารย์เองตามหลักการของการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้
๔. ข้อเสนอแนะ
จากการวิจัยครั้งนี้ ผู้สอนมีข้อเสนอแนะต่อการปรับปรุงหรือพัฒนาการสอน ดังนี้
๑.อาจารย์ผู้สอนควรนำแบบอย่างที่ดีจากผลงานวิจัยของพระนิสิตและข้อพร่องที่พบไปใช้เป็นกรณีศึกษาในการสอนครั้งต่อไป เพื่อเป็นการนำเสนอตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม
๒.มหาวิทยาลัยควรให้การฝึกอบรมวิจัยในชั้นเรียนให้แก่อาจารย์อย่างต่อเนื่องและทุกภาคการศึกษาเพื่อให้อาจารย์สามารถทดลองทำวิจัยได้อย่างสมบูรณ์
๓.อาจารย์ผู้สอนควรจัดให้มีเน้นกิจกรรมการนำเสนอผลงานการวิจัยและวิพากษ์ผลการวิจัยในชั้นเรียนให้มากขึ้น ทั้งการสะท้อนความคิดจากผลการวิจัย การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผลการวิจัย และการวิพากษ์ผลการวิจัย จากอาจารย์ผู้สอน และจากพระนิสิต
.อาจารย์ผู้สอนควรจัดให้มีระบบการจัดการความรู้การวิจัยในชั้นเรียนของพระนิสิต โดยจัดให้มีแหล่งความรู้ เรื่องการวิจัยในชั้นเรียน วิธีปฏิบัติที่ดีทางการวิจัยในชั้นเรียน การสนับสนุนและช่วยเหลือนิเทศพระนิสิต และแหล่งรวบรวมผลงานวิจัยในชั้นเรียน การจัดประชุมทางวิชาการ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผลงานการวิจัยในชั้นเรียน
ไม่มีความเห็น