อาหารในวันมงคล 12/12/12 นะคะ


อาหารในวันมงคล 12/12/12 นะคะ "บัวหิมะ"

               

สวัสดีวันมงคล 12/12/12 นะคะ วันนี้ขอนำเสนอเกี่ยวกับบัวหิมะนะคะ

หัวบัวหิมะเป็นผลไม้ที่เกิดอยู่ในดินตามป่า ซึ่งอยู่ในพื้นที่ระดับน้ำทะเล 3,000 กว่าเมตร เป็นพืชพื้นเมืองที่มีอยู่ทั่วไปตามแถบเขาในอเมริกาใต้ มีรูปร่างลักษณะเหมือนหัวมันเทศ เปลือกบาง รสชาติออกหวาน กรอบ ฉ่ำน้ำ เป็นอาหารที่มีแคลอรี่ต่ำ อุดมด้วยกรดอมิโนที่ร่างกายมนุษย์ต้องการกว่า 20 ชนิด เมื่อปอกเปลือกแล้วกินสดได้ มีสรรพคุณทางสมุนไพร แก้ร้อนใน ท้องผูก แก้อาการอักเสบ ช่วยการทำงานของระบบขับถ่ายและทางเดินปัสสาวะได้ดี ช่วยตับขับถ่ายพิษและมีสรรพคุณช่วยให้หลอดเลือดอ่อนตัว ลดความดันโลหิตสูง ลดเบาหวาน เหมาะสำหรับผู้ที่จะลดความอ้วน ผู้สูงอายุช่วยบำรุงรักษาอาการทางด้านเส้นเลือกและหัวใจ สามารถนำไปปรุงให้สุกต้มกับกระดูกหมูหรือตุ๋นช่วยย่อยอาหารและช่วยระบายท้อง

คนเลี้ยงสัตว์แถบภูเขาถือว่าดอกบัวหิมะ เป็นสัญลักษณ์แห่งโชคลาภ เป็นดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์ หากใครได้เห็นถือเป็นบุญตา มีตำนานเล่าขานว่า เมื่อราชินีสวรรค์แห่งทะเลสาบหยก (Jade Lake) เสด็จลงมาอาบน้ำยังทะเลสาบเทียนชี หรือทะเลสาบสวรรค์ (Tianchiหรือ Heavenly Lake) ที่ซินเจียง เหล่านางฟ้าจะโปรยดอกบัวหิมะลงมา ทำให้ยอดเขาสูงชันกว่า 5,000 เมตรปกคลุมด้วยหิมะที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับทะเลสาบสะท้อนความงามของเทพธิดา เป็นที่จับตาน่าหลงใหลยิ่ง บัวหิมะจึงถูกนับถือเป็นดอกไม้ล้ำค่า ชาวบ้านเชื่อกันว่าหากได้ดื่มน้ำค้างจากกลีบดอกบัวหิมะแล้ว อาการป่วยไข้จะปลาสนาการ และมีชีวิตยืนยาวยิ่งขึ้น

บัวหิมะคืออะไร หรือ "kefir" 

บัวหิมะเติบโตในบริเวณที่สูงกว่าระดับ น้ำทะเล 3000 - 4000 เมตรขึ้นไปซึ่งแม้ในฤดูร้อนภูเขาก็ยังมีหิมะปกคลุม บัวหิมะเติบโตอย่างช้าๆ แต่ทนทานมาก โดยปกติเมล็ดของบัวหิมะเพียง 5% เท่านั้นที่เติบโตจนออกดอกได้ และใช้เวลา 3 ปีกว่าจะเก็บเกี่ยว ดอกบัวหิมะบานช่วงเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมของทุกปี ดอกเป็นสีขาวหรือเขียวอ่อน ดูคล้ายดอกบัวขนาดใหญ่ เบ่งบานท้าทายลมและหิมะ ส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่ว

ประเทศจีนได้บันทึกความสำคัญของบัวหิมะไว้ตั้งแต่โบราณ เช่นในหนังสือ The New Edition of Chinese Medicine เขียนสมัยราชวงศ์ถัง (ค.ศ.618-907) ระบุไว้ว่า แถบตะวันตกของจีนมีตัวยามีค่ากว่า 140 ชนิด และหนึ่งในนั้นคือ บัวหิมะ

ตามการค้นคว้านและวิจัย บัวหิมะเป็นแบคทีเรียที่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายๆ ชนิดอยู่ร่วมกัน ประกอบด้วย  : 
Lactococcus lactis subsp. lactis 
lactococcus lactis subsp. cremoris 
Lactococcus lactis subsp. diacetylactis, 
Leuconostoc mesenteroides subsp. cremoris 
Lactobacillus Kefyr (thermophilic) 
Klyveromyces marxianus var. marxianus 
Saccaromyces unisporus 


.แล้วมันต่างหรือเหมือนกับโยเกิตไหม  ?
ต่าง กันนะคะ เพราะว่า kefir จะเหลวกว่ากลิ่นแรงกว่า และมีแบคทีเรียที่มีประโยชน์หลายชนิดกว่า วิธีการทำก็ค่อนข้างต่างกัน คือเจ้าแลคโตบาสิลัสในโยเกิตมันข้อนข้างอ่อนแอ ทำให้เวลาทำต้องมีการต้มฆ่าเชื้อสารพัดและต้องใช้อุณภูมิที่เหมาะสมในการทำ ด้วยจึงจะได้ผลิตภัณท์ที่ดีและจะต้องผลิดจากนมเท่านั้น ส่วนเจ้า kefir มันสามารถผลิตได้จากหลายๆอย่างเช่น นม น้ำเต้าหู้ น้ำกะทิ หรือแม้แต่น้ำหวาน

การผลิตก็ไม่ยุ่งยาก แค่ต้องระวังให้ภาชนะสะอาด เรื่องอุณภูมิมันสามารถอยู่ได้ในอุณภูมิที่กว้างมาก (2-40 C) 
ถ้าพูดกันในแนวของประโยชน์โดยตัดเรื่องของสารอาหารออกไป(เพราะเรื่องของสารอาหารมันเยอะมากเดี๋ยวจะมั่วไม่ได้ภาพพจน์) 
เจ้าโยเกิตกินเข้าไปมันจะช่วยให้ทางเดินอาหารสะอาดและให้อาหารกับแบ็กทีเรียที่มีประโยชน์ที่อาศัยอยู่ในลำใส้เรา

แต่ จะเป็นแบบชั่วคราวคือกินแล้วก็แล้วกัน ส่วนเจ้า kifir มันจะมีประโยชน์เหมือนกับโยเกิตแต่จะต่างกันตรงเจ้านี้จะเข้าไปอาศัยอยู่ใน ลำใส้เราได้เลยทำให้มีประโยชน์ในระยะยาวกับระบบทางเดินอาหารของเรา  แล้ว มันยังมียีสเช่น Saccharomyces kefir และ Torula kefir ที่ทำหน้าที่ฆ่าเชื้อโรคที่จะเข้ามาในทางเดินอาหาร และจะทำให้เรามีความต้านทานต่อเชื้อโรคเช่น อีโคไล และปรสิตต่างๆดีขึ้น 

นอกจากนี้เจ้า kifir จะช่วยย่อยอาหารทำให้อาหารดูดซึมดีขึ้น ทำให้ลำใส้สะอาดมีสารพิษตกค้างน้อยลง 
และขนาดของ kifir จะเล็กกว่าโยเกิตทำให้ย่อยได้ง่ายกว่า 

.สารอาหารใน kefir มีอะไรบ้าง 
นอก จากแบคทีเรียที่มีประโยชน์ และยีสแล้ว ใน kefir ยังมีกรดอมิโนที่จำเป็นต่างๆ และโปรตีนในนมซึ่งถูกย่อยไปแล้วเป็นบางส่วนโดยเจ้า kefir จะมีข้อดีคือดูดซึมได้ง่ายกว่าดื่มนมโดยตรง นอกจากนี้ยังมี แคลเซี่ยมและแมกนีเซี่ยม ช่วยบำรุงระบบประสาท มี ฟอสฟอรัส วิตตามิน B1,B12 วิตตามิน K 


.kefir มีประโยชน์อะไรบ้าง 
ใช้ ดื่ม ทำให้ระบบทางเดินอาหารดีขึ้น มีสารอาหารต่างๆมากมาย ช่วยให้ระบบประสาทดีขึ้น ทำให้จิตใจสงบลง ช่วยในท่านที่นอนไม่ค่อยหลับ ส่วนสรรพคุณอื่นๆเห็นทางเว็ปเมืองนอกและคนที่เคยดื่มมีบอกไว้สารพัด แต่ตา(ชื่อผู้เขียน)ไม่กล้าเอามาบอกเพราะดูจะเกินจริงไปหน่อยนะคะ เลยอยากให้ไปอ่านเองจากต้น ฉบับและใช้วิจารณะญาณเอาเองนะคะ
อ้อ ส่วนสำหรับท่านสาวๆใช้พอกหน้าทิ้งไว้ 15 นาทีแล้วล้างออก เห็นเขาว่าทำให้ผิวดีขึ้นและขาวขึ้นได้ดีกว่าใช้โยเกิตนะคะ เพราะยีสต์ใน kefir ช่วยในการฆ่าเชื้อได้ส่วนนึง เห็นเขาว่าสิวนี่ลดลงเยอะเลยจร้า



.จะทำ kefir อย่างไร 
ก่อน อื่นต้องไปหาหัวมาก่อนนะคะ พอได้มาแล้วก็เอามาใส่ลงไปในขวดที่ลวกน้ำร้อนแล้ว เทนมรสจืดลงไปหนึ่งกล่อง ไม่ต้องปิดฝาแต่ให้ใช้ผ้าขาวบางปิดปากขวดไว้ ทิ้งไว้ที่อุณภูมิห้อง 24-48ชั่วโมงแล้วแต่ว่าชอบเปรี้ยวมากหรือน้อย แล้วให้เทนมออกมาโดยกรองเอาเจ้าหัวเชื้อ(ที่เป็นเม็ดๆก้อนๆสีขาวๆ)เก็บเอา ไว้ เอานมที่ว่าไปดื่มโดยใส่น้ำผึ้ง ผลไม้ ฯลฯ

ตามชอบแช่ตู้เย็นไว้กินเย็นๆก็ได้ หรือจะเอาไปทาหน้าทาตัวก็แล้วแต่ 
ส่วน เจ้าหัวเชื้อก็ให้เอาไปใส่ขวดแช่นมเอาไว้เพื่อทำ kifir ชุดใหม่ต่อไป เจ้าหัวเชื้อนี้ไม่ว่าเราจะต้องการน้ำ kefir หรือไม่เราก็ต้องเปลี่ยนน้ำนมให้มันอย่างน้อยทุกๆสามวันนะคะ หากจะเก็บไว้นานกว่านั้นต้องเก็บในตู้เย็น แต่ยังไม่มีรายงานว่าเก็บได้นานสุดเท่าไรก่อนที่เชื้อมันจะตายนะคะ ปกติตาจะทานสดๆๆกับต้มกับกระดูกหมูอร่อยดีนะคะ จากการที่ชอบกินบัวหิมะมากเพราะทำให้หน้าไม่ขึ้นฝ้าด้วยนะคะ บวกกับการที่ต้องบริจาคเลือดและเกล็ดเลือดอยู่เป็นประจำ ดังนั้นอาหารทุกชนิดก่อนที่ตาจะนำเข้าสู่ร่างกายของตัวเองนะคะ จะต้องผ่านการศึกษาและพิจารณามาก่อนนะคะ วันนี้เลยเห็นว่ามันเป้นวันดีเลยนำมาแนะนำให้กับเพื่อนๆพี่ๆน้องๆที่นี่นะคะ เพื่อที่จะได้ไปหากันมารับประทานกันบ้างนะคะ อิอิๆๆ ลองชิมดูนะคะ ถ้าจะให้อร่อยมากๆๆนะคะ ต้องแช่เย็นก่อนนะคะ แล้วรับประทานสดอร่อยดีขอบอกแล้วนำไปบอกต่อด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ


คำสำคัญ (Tags): #บัวหิมะ#มณีเทวา
หมายเลขบันทึก: 511718เขียนเมื่อ 12 ธันวาคม 2012 13:37 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 ธันวาคม 2012 22:17 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

ขอบคุณค่ะ ที่ทำให้นึกถึงผักชนิดนี้ที่เกือบจะลืมไปแล้วค่ะ

ที่ภูเก็ตไม่ค่อยมีขายค่ะ นานมากแล้วที่ได้ทานค่ะ ชอบทานสดๆ ไม่ต้องปรุงแต่ง รสชาดออกหวานใสๆ ชุ่มคอดีค่ะ

วันนี้ดีจริงๆ นะคะ ดิฉันสุขใจค่ะ

ค่ะ ขอบคุณมาก ลองไปหาทานดูนะคะ มีประโยชน์ต่อร่างกายมากนะคะ ทานเป็นประจำหน้าไม่ขึ้นสิวไม่มีฝ้าด้วยนะคะ ทำให้ดูอ่อนกว่าวัยด้วยนะคะ ทานสดต้องแช่เย็นนะคะยิ่งอร่อยนะคะ

ชอบการเขียนแนวนี้มากนะคะพี่มณีเทวาเป็นกำลังใจให้นะคะ รับไปเลยค่ะดอกไม้สวยๆๆอิอิ...เคยทานแล้วค่ะ บัวหิมะ ทานเย็นๆอร่อยดีค่ะ


พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท