ประเมินสถานการณ์เด่นที่เกิดขึ้นในประเทศว่าจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจภายในประเทศอย่างไรบ้าง
เศรษฐกิจไทยหลังปฏิวัติ 19 กันยาฯ
สืบเนื่องจากเหตุการณ์ปฏิวัติโดย คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ในวันที่ 19 ก.ย ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้วิเคราะห์แนวโน้ม เศรษฐกิจไทยในปี 2549-2550 ว่า แม้การยึดอำนาจอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนัก ลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะในด้านการลงทุนโดยตรงและการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
แต่เนื่องจากรัฐบาลที่จะจัดตั้งมาบริหารประเทศมีอำนาจเบ็ดเสร็จด้านนิติบัญญัติ จึงน่าจะ พิจารณาผ่านวงเงินงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลในปีงบประมาณ 2550 ได้โดยเร็ว รวมทั้ง คาดว่าอาจมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาจากรัฐบาลใหม่ เพื่อช่วยด้านความเชื่อมั่น ภาคเอกชน ทำให้โดยรวมคาดว่าครึ่งปี หลังการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคในประเทศน่าจะยัง ขยายตัวในอัตราใกล้เคียงครึ่งปีแรก
อย่างไรก็ตาม การลงทุนภาคเอกชนอาจยังมีแนวโน้มชะลอตัว เนื่องจากรอดูความชัดเจน ด้านการเมือง ทั้งเสถียรภาพ ความสงบเรียบร้อย การแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการเลือกตั้ง
ขณะที่การส่งออกอาจขยายตัวในอัตราชะลอลงเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก เนื่องจากมาตรฐานสูง แต่ผลจากการที่ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงหลังการรัฐประหารอาจช่วยให้การส่งออกยังขยายตัวได้ ใกล้เคียงกับเป้าหมาย โดยในภาพรวมแล้วศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าเศรษฐกิจไทยอาจขยายตัว 3.0-3.5% ลดลงจาก 5.5% ในครึ่งปีแรก และมีอัตราขยายตัวทั้งปีที่ 4.0-4.5%
ทั้งนี้คาดว่าประเด็นที่นักลงทุนสนใจติดตามจากนี้ไปจะเป็นเรื่องเสถียรภาพทางการเมือง และความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ การดำเนินการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ตลอดจนการ จัดให้มีการเลือกตั้งเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน ทำให้ภาวการณ์ลงทุนโดยรวมอาจยังไม่สามารถ ขยายตัวได้มากนัก ถึงแม้รัฐบาลชุดใหม่จะพยายามเร่งการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2549 และ 2550 ก็ตาม
อย่างไรก็ตาม คาดราคาน้ำมันที่ปรับตัวลง และความเป็นไปได้ที่อาจมีมาตรการกระตุ้น เศรษฐกิจจากรัฐบาลใหม่ น่าจะเป็นปัจจัยช่วยให้การบริโภคภาคเอกชนยังขยายตัวได้ใกล้เคียง กับช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเมื่อพิจารณาปัจจัยต่างๆ แล้ว ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเห็นว่าอัตราการขยายตัว ของเศรษฐกิจไทยปี 2549-2550 น่าจะยังอยู่ในกรอบประมาณการเดิมที่ 4.0-4.5% และ 3.5- 4.5% ตามลำดับ