ข้อเท็จจริง
นายม่อเซเกิดในประเทศพม่าเมื่อ พ.ศ.๒๕๐๗ จากนางนอเมี๊ยะและนายจอเมี๊ยะ ซึ่งเป็นชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง เมื่อ พ.ศ.๒๕๒๒ ได้เข้ามาในประเทศไทยทางด้านอำเภอสบเมย
ต่อมาได้อยู่กินฉันสามีภริยากับนางพอมู ซึ่งเป็นคนกะเหรี่ยงที่เกิดในประเทศพม่าเช่นเดียวกัน ปรากฏข้อเท็จจริงว่า นางพอมูเกิดเมื่อ เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๑ จากนางจีคึ๊พอและนายมอกร่อ
ม่อเซและพอมูมีบุตรด้วยกัน ๕ คน คือ (๑) นายสมพงษ์ ซึ่งเกิดในประเทศไทยเมื่อ พ.ศ.๒๕๓๒ (๒) นายคือเซ ซึ่งเกิดในประเทศไทยเมื่อ พ.ศ.๒๕๓๔ (๓) นายเซดาเกิดในประเทศไทยเมื่อ พ.ศ.๒๕๓๕ (๔) เด็กชายเจตน์ ซึ่งเกิดโรงพยาบาลแม่สะเรียงเมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๔๖ และ (๕) เด็กชายบุญชัย ซึ่งเกิดที่โรงพยาบาลแม่สะเรียงเมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๔๘
ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ม่อเซ่และพอมู ตลอดจนบุตรชาย ๓ คนแรกไม่ได้รับการแจ้งการเกิดในทะเบียนราษฎรของประเทศใดเลยบนโลก บุคคลทั้งห้าคนเพียงได้รับการบันทึกในทะเบียนราษฎรของรัฐไทย เมื่อ พ.ศ.๒๕๓๗ ทั้งนี้ สำนักทะเบียนอำเภอสบเมย จังหวัดแม่ฮ่องสอนได้บันทึกบุคคลทั้งห้าในทะเบียนประวัติตามกฎหมายการทะเบียนราษฎรไทยประเภท "ทะเบียนประวัติผู้หลบหนีเข้าเมืองจากพม่า” เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน พ.ศ.๒๕๓๗ และต่อมา ก็ได้บันทึกบุคคลทั้งหมดในทะเบียนบ้านตามกฎหมายการทะเบียนราษฎรไทยประเภทคนอยู่ชั่วคราว (ท.ร.๑๓)
ส่วนบุตรคนที่ ๔ และ ๕ ของม่อเซ่และพอมูนั้น เกิด ณ โรงพยาบาลแม่สะเรียง และได้รับการแจ้งการเกิดในทะเบียนราษฎรไทยตั้งแต่เกิด
บุคคลในครอบครัวนี้ทำงานแล้ว ยกเว้น เด็กชายเจตน์ และเด็กชายบุญชัย ยังเรียนหนังสืออยู่
เอกสารทางทะเบียนราษฎรไทยที่ออกโดยรัฐบาลไทยก่อน พ.ศ.๒๕๔๗ บันทึกว่า นางพอมูและนายม่อเซ ตลอดจนบุตรว่า เป็นคนมีสัญชาติกะเหรี่ยง แต่เอกสารทะเบียนราษฎรไทยที่ออกโดยรัฐบาลไทยในสมัยปัจจุบันเรียกพวกเขาว่า “บุคคลไม่มีสัญชาติไทย” แต่ไม่ได้ระบุสัญชาติของพวกเขา ดังจะเห็นว่า พวกเขาถือบัตรประจำตัวที่กรมการปกครองออกให้โดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายการทะเบียนราษฎรไทย ซึ่งบัตรนี้ถูกเรียกว่า “บัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยประเภทผู้หลบหนีเข้าเมืองจากพม่า (มีถิ่นที่อยู่ถาวร)”
คำถาม
โดยหลักกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล จะต้องใช้กฎหมายของประเทศใดกำหนดสิทธิทางการศึกษาของเด็กชายเจตน์ และเด็กชายบุญชัย ? โดยกฎหมายดังกล่าว เด็กทั้งสองมีสิทธิทางการศึกษาหรือไม่ ? เพียงใด ?
แนวคำตอบ
โดยหลักกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล นิติสัมพันธ์ตามกฎหมายมหาชน แม้จะมีลักษณะระหว่างประเทศ ก็จะต้องเป็นไปภายใต้กฎหมายมหาชนของรัฐคู่กรณี ทั้งนี้ เว้นแต่จะมีการกำหนดเป็นอื่น เรื่องของสิทธิการศึกษาเป็นเรื่องที่กฎหมายมหาชนกำหนดให้เป็นหน้าที่ของรัฐที่จะให้การศึกษาแก่มนุษย์ที่ปรากฏตัวบนดินแดนของตน
กฎหมายไทยในกรณีนี้ ย่อมได้แก่ มาตรา ๘๐ แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ และ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ ซึ่งโดยกฎหมายดังกล่าว รับรองสิทธิทางการศึกษาของมนุษย์ทุกคน โดยที่ผู้ที่ประสงค์จะศึกษานั้นจะมีสัญชาติไทยหรือไม่ ก็ได้ จะเป็นคนต่างด้าวที่เข้าเมืองถูกหรือผิด ก็ได้
ขอให้สังเกตว่า ในเรื่องสิทธิทางการศึกษานั้น ไม่มีกฎหมายระหว่างประเทศที่จะมาตัดสิทธิทางการศึกษาของมนุษย์ แต่ในทางตรงกันข้าม กลับมีกฎหมายระหว่างประเทศที่สำคัญหลายฉบับที่รับรองสิทธิทางการศึกษาว่า เป็นสิทธิมนุษยชนอย่างเด็ดขาด ซึ่งในปัจจุบันมักเรียกหลักสิทธิมนุษยชนทางการศึกษาว่าเป็น “Education for All” จะเห็นว่า สิทธิทางการศึกษาจึงได้รับการยอมรับว่า เป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่ถูกกำหนดในเอกสารสำคัญที่ผูกพันประเทศไทย กล่าวคือ (๑) ข้อ ๒๖ แห่ง ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration on Human Rights or UDHR) ค.ศ.๑๙๔๘/พ.ศ.๒๔๙๑ ซึ่งผูกพันประเทศไทยตั้งแต่วันที่ ๑๐ ธันวาคม ค.ศ.๑๙๔๘/พ.ศ.๒๔๙๑) (๒) ข้อ ๒๘ และ ๒๙ แห่งอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิเด็ก (International Convention on Rights of Child or ICRC) ค.ศ.๑๙๘๙/พ.ศ.๒๕๓๒ ซึ่งผูกพันประเทศไทยตั้งแต่ ค.ศ.๑๙๙๒/พ.ศ.๒๕๓๕ (๓) ข้อ ๑๓ และ ๑๔ แห่งกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (International Covenant on economic, social and cultural rights or ICESCR) ค.ศ.๑๙๖๖/พ.ศ.๒๕๐๙ ซึ่งผูกพันประเทศไทยตั้งแต่ ค.ศ.๑๙๙๙/พ.ศ.๒๕๔๒ อันหมายความ การให้การศึกษาแก่มนุษย์โดยไม่เลือกปฏิบัติเป็น “หน้าที่ตามกฎหมายระหว่างประเทศ” สำหรับประเทศไทย
แม้เจตน์และบุญชัยตามข้อเท็จจริงจะยังมีสถานะเป็นคนต่างด้าวก็ตาม และแม้จะถูกถือว่าเป็นคนเข้าเมืองผิดกฎหมายก็ตาม เมื่อเป็นเรื่องของการใช้สิทธิทางการศึกษาซึ่งเป็นสิทธิตามกฎหมายมหาชนประเภทสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน กรณีก็ย่อมจะเป็นไปตามกฎหมายไทยข้างต้น สิทธิทางการศึกษานี้ย่อมหมายถึง (๑) สิทธิที่จะเข้าสู่ความเป็นนักเรียนนักศึกษาในสถาบันการศึกษา (๒) สิทธิที่จะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันในสถาบันการศึกษา อาทิ สิทธิในหลักประกันการศึกษา (๓) สิทธิที่จะได้รับวุฒิการศึกษา และ (๔) สิทธิในการทำงานตามวุฒิการศึกษา
ดังนั้น เจตน์และบุญชัยจึงไม่ควรถูกปฏิเสธสิทธิดังกล่าว หรือแม้ไม่อาจถูกเลือกปฏิบัติเพราะเหตุที่เป็นคนต่างด้าวไร้สัญชาติได้เลย การปฏิเสธสิทธิทางศึกษาย่อมย่อมเป็นการละเมิดทั้งกฎหมายรัฐธรรมนูญไทยและกฎหมายระหว่างประเทศ และหากมีการละเมิด ก็อาจร้องเรียนต่อไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และหากยังมีการละเมิดต่อไป ก็อาจยื่นฟ้องต่อศาลปกครองไทยได้ และในท้ายที่สุด อาจมีการร้องทุกข์ไปยังคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนที่รักษาการตามสนธิสัญญาด้านสิทธิมนุษยชนที่ผูกพันประเทศไทยดังกล่าวข้างต้น
ไม่มีความเห็น