เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาทางบ้านผมที่อุบลฯเตรียมตัวที่จะต้อนรับการมาเยือนของ อ. หมอ อมรา มลิลา โดยเราวางแผนให้อาจารย์หมอได้พักผ่อนให้มากที่สุด ด้วยเหล่าลูกศิษย์เข้าใจว่าอาจารย์ต้องรับภาระอบรม สั่งสอนการปฏิบัติธรรม เดินทางไปที่ต่างๆตลอดทั้งปี แทบจะไม่มีเวลาส่วนตัวเอาเลย
ผมมาทราบภายหลังว่าส่วนหนึ่งที่อาจารย์ยอมสละเวลามาที่อุบลฯ เพราะอาจารย์ต้องการพบผมโดยตรง เรื่องมาเที่ยวหรือพักผ่อนนั้นไม่ใช่เรื่องหลัก ด้วยลูกศิษย์คนนี้แม้มีข้อข้องใจ ทุกข์ใจ ก็ไม่กล้าที่จะขอคำปรึกษาท่านเท่าใดนัก (เพราะผมจะเข้าใจว่า เราไม่ควร “ใช้” ครูบาอาจารย์ให้ “เปลือง” ) พบกันแต่ละครั้งผมจะคิดว่าเวลาของอาจารย์สำคัญที่จะไขปัญหาของคนทุกๆคน ไม่ใช่เฉพาะผมคนเดียว และการที่เรายังไม่ได้ปฏิบัติอย่างจริงจัง สม่ำเสมอ คำถามทุกคำถาม มันก็เป็นเพียงคำถามของคนที่ยังไม่ลองทำดูก่อน ไม่ใช่ปัญหาจริงๆตามที่ตนติดขัด แต่ก็มาถามปัญหาที่ไม่เป็นประโยชน์ เอาไว้แค่ได้พูดคุยไร้สาระ ยกตัวอย่างเช่น
………หลวงพ่อ (อาจารย์) ว่าปีนี้น้ำจะท่วมมั้ย? (จะถามไปทำไม!!!!)
………หลวงพ่อ (อาจารย์) ว่าประเทศไทยจะเป็นอย่างไรในอนาคต? ก็คนมันจิตใจต่ำลง ไม่มีคุณธรรม จริยธรรม ประเทศชาติมีแต่แย่ลง (ถามเป็นตอบเอง.....รู้แล้วมาถามทำไม!!! )
………หลวงพ่อ (อาจารย์) ทุกวันนี้พระสงฆ์มีแต่ข่าวไม่ดี ?? ....(พูดไปเรื่อยๆ อยากได้ความคิดเห็น)
………หลวงพ่อ (อาจารย์) ผมนั่งสมาธิแบบนี้ (นั้น) แล้วไม่สงบเลย 5 นาที ก็คิดโน้น คิดนี้ ผมจะทำอย่างไรดีครับ? (จริงๆแล้วถ้าเราปฏิบัติจริงๆ คำถามนี้ผู้ปฏิบัติจะฟังรู้ว่าเราทำจริงจังหรือแค่ถามไปอย่างงั้นๆแหละ.....)
แต่ทุกคำถาม ………หลวงพ่อ (อาจารย์) ท่านจะตอบ ทุกคำถาม แต่ถ้าสังเกตดีๆ ท่านจะตอบให้เหตุผลใน แต่ละคนไม่เหมือนกัน
ด้วยเหตุนี้ปัญหาที่ติดอยู่ในใจผม เมื่อพบกับอาจารย์ผมจึงไม่ยอมที่จะถาม... เอาไว้แก้ไขด้วยตนเอง เพราะเรารู้ เราก็รู้ได้เฉพาะตน แม้มีใครชี้ทางออก เมื่อเราไม่เห็นเราก็ไม่ทำอยู่ดี.............. เหมือนหลวงพ่อชากล่าว “เอาข้าวให้คนที่อิ่มอยู่ มันจะกินไหม? ” หรือ “คำว่า -อิ่มจนท้องจะแตก- ของเรา คนอื่นจะรู้กับเราไหมว่าเราอิ่มขนาดไหน.......” (อ่ะเอาอีกซิ อีก 2 คำ ก็จะหมดจานละ....ว่าไป...ก็ตอบมา....ก็อิ่มจนท้องจะแตกไม่รู้หรือไง แล้วใครมันจะรู้กับเราไหมครับ....อัดเข้าไปอีก 2 คำ ตามคำขอ 555)
(ภาพ หลังท่าน้ำวัดหลวง พาอาจารย์เดินเล่นทัวร์ริมน้ำมูลยามเย็น)
ไม่รู้ด้วยเหตุอันใด ....... ระหว่างผมขับรถกลับอุบลฯ ผมได้รับข่าวว่า หลวงปู่ป่วย ต้องเข้าโรงพยาบาล โดยจะมีรถ รพ. ที่อุบลไปรับ ผมแวะส่งอาแมะที่บ้าน แล้วก็ไปรับพี่ที่ที่ทำงาน เราไปติดต่อ รพ. ปรากฏว่า รถ รพ. เพิ่งออกไปรับ กว่ารถจาก อุบลฯไปโขงเจียม ไปกลับก็ร่วม 2 ช.ม. คำถามที่พี่และผมถามกันก็คือ ถ้าฉุกเฉินถึง ขนาดหลวงปู่ล้มทั้งเดิน (มีญาติโยมเข้าไปรับทัน) มีไข้สูง แล้วทำไมไม่ตามรถที่ รพ. โขงเจียม มาส่งจะเร็วกว่า ซึ่งพี่ผมก็ติดต่อประสานงานไว้ล่วงหน้ากรณีฉุกเฉินแล้ว หรือไม่ก็นั่งรถญาติโยมออกมาเลย (ทราบภายหลังว่าญาติโยมกลัวว่า ระหว่างหลวงปู่นั่งมากับเขาแล้วมีปัญหา เขาจะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร....:(:( ) การติดต่อสอบถามเป็นไปอย่างสับสน ด้วยเงื่อนไขต่างๆ (ถ้าจะอธิบายก็อีกประมาณ 2 หน้ากระดาษ เอาแค่นี้ละกันนะครับ หุหุ .... ถ้าท่านอยากรู้จริงๆ ตามมาอยู่วัดกับผมนานๆ แล้วจะรู้ 555)
เราตัดสินใจรอรับหลวงปู่ที่บริเวณห้องฉุกเฉิน ......
(ไว้มาพิมพ์ต่อ นะครับ วันนี้หมดเวลาโม้แล้ว....)
อนุโมทนาบุญกับท่านพี่ที่ได้เป็นโยมอุปัฎฐากค่ะ
:)
แล้วจะมาอ่านต่อนะ ...ท่าน ดร........
เอาอีกละ... คนนี้ ก็เปลี่ยนชื่อให้ คนนี้ ก็เรียก "พี่" ......:):)
ผมแค่เป็นวัยชราตอนต้น แค่นั้นเอง อายุมากกว่า อ. จันทวรรณ หน่อยเดียวเอง (มีพาดพิงเจ้าสำนัก... เดี๋ยวจะถูกขับออกจากสำนัก GTK มั้ยหน้อ....555)
ผมแก้ไขแล้วครับ ขอบคุณมากๆที่แจ้ง