ก่อนไปพบกรณีศึกษาวัย 12 ปี คนนี้ ผมลองศึกษาบันทึก G2K ที่ตนเองเคยบันทึกเรื่อง ชีวิตแอสเปอร์เกอร์ไม่มีวันล้ม (คลิกอ่านบันทึกที่เกี่ยวข้อง) และเมื่อพบน้อง พ. ครั้งแรก ก็มั่นใจว่า น้องไม่ได้เป็นแอสเปอร์เกอร์
จากนั้นดร.ป๊อป ได้ตรวจประเมินน้อง พ. ในเรื่อง การแสดงบทบาทในการทำกิจกรรมการดำเนินชีวิต การแปรผลทางจิตวิทยาในการวาดรูปคน-บ้าน-ต้นไม้ และการทดสอบการรู้คิดปัญญา พร้อมให้คุณแม่ทำการคัดกรองภาวะความบกพร่องทางการเรียน
การแปรผลคือ น้องมีภาวะเครียดสะสมและส่งผลให้มีภาวะความบกพร่องทางการเรียนด้านพฤติกรรม (แยกตัว กำมือแน่นเมื่อเห็นใครทำผิด กัดฟัน ก้มหน้าไม่สบตา และยิ้มยาก) และด้านอารมณ์ (คิดลบกับพ่อ แม่ น้อง ครู และเพื่อน ไม่อยากรักใคร) เมื่อถามถึงปมในอดีตตอนน้องเล็กๆ พ่อเห็นน้องร้องไห้เอาของเล่น ก็ตีแรงๆ จนน้องหลบไปร้องไห้-ขังตัวเองในห้องน้ำ แม่ดุว่าน้องเมื่อทำการบ้านไม่ได้ เมื่อน้องอยู่ในโลกของตนเองมากขึ้น คุณพ่อและคุณแม่ก็ปรับวิธีการเลี้ยงดูแบบเพื่อนและพยายามเข้าใจลูกมากขึ้น แต่ไม่รู้ว่าจะทำให้ลูกหายจากอาการก้าวร้าวได้อย่างไร คุณพ่อนึกได้ว่ารูปแบบของการแสดงความคิดลบแบบนี้ คุณพ่อก็เคยเป็นมาก่อนแต่ใช้ธรรมมะช่วย
ดร.ป๊อป จึงให้น้อง พ. นั่งในท่าสบายหลับตา วางมือดร.ป๊อป บนมือของน้อง พ. จากนั้นให้น้องหายใจเข้าจมูก เป่าลบทางปากไปเรื่อยๆ นับในใจหลังทำแต่ละรอบ 1-10 จากนั้นให้น้องพ. พูดคำว่า "ผ่อนคลาย" ออกมารวม 10 ครั้ง
ดร.ป๊อป ได้พูดเบาๆ ให้น้องได้ยินว่า "น้องรู้สึกดี ผ่อนคลาย และคิดบวกกันนะครับ" เอาหละลองจินตนาการว่าความฝันของน้องคืออะไร
น้อง พ. บอกว่า "อยากเป็นนักดนตรี มีชื่อเสียง เคยเห็นรุ่นพี่เป็นแบบอย่าง อยากเล่นกีตาร์ไฟฟ้า แต่อยากเรียนกีตาร์คลาสสิกก่อน มีคนมาฟังเพลงมากมาย"
ดร.ป๊อป: "คราวนี้ถ้าน้องเป็นนักดนตรีที่ดี ต้องเรียนดี มีความคิดบวก รอบข้างน้องรู้สึกรักใครบ้าง"
น้อง พ.: "คิดยาก ไม่อยากรักใคร"
ดร.ป๊อป: "ใจเย็นๆ คิดบวก เป็นคนดี เรารักใครครับ"
น้อง พ.: "รักตัวเอง ไม่ชอบเพื่อนๆ ทำไม่ดี รำคาญ ..."
ดร.ป๊อป: "รักตนเองและรักใครในบ้านบ้างหละ"
น้อง พ.: ไม่รู้ ไม่อยากรัก"
ดร.ป๊อป: "น้องเรียนได้ดี เพราะมีแม่คอยสอนใช่ไหม คิดบวก ข้อดีของแม่คืออะไร น้อง พ. รักแม่ไหม"
น้อง พ.: รักแม่ แม่สอนการบ้านให้
ดร.ป๊อป: "รักใครอีกที่คอยเป็นเพื่อนน้อง พ."
น้อง พ.: "รักพ่อ อืม... รักน้อง"
ดร.ป๊อป: "เอาหละ เดี๋ยวน้าป๊อปจะพาคุณพ่อคุณแม่และน้องสาวของน้อง พ. มา น้อง พ. จะพูดกับพวกเขาว่าอะไร กอดหรือจับมือได้ไหม"
น้อง พ.: "ผมจะตั้งใจเรียน ไม่คิดลบ เป็นคนดี ไม่กอด จับมือได้" (จากนั้นให้น้อง พ. ฝึกหายใจและพูดผ่อนคลายกับตัวเอง)
เมื่อ ดร.ป๊อป พาคุณแม่คุณพ่อและน้องสาวของน้อง พ. มา น้อง พ.ก็คุกเข่า-จับมือและบอกครอบครัวตามที่ฝึกไว้ และให้คุณพ่อคุณแม่เปิดใจพูดกับลูกด้วยน้ำตา เมื่อนึกถึงการกระทำที่ไม่ดีต่อน้อง พ. ในอดีต จากนั้นทั้งพ่อแม่ลูกก็กอดกันด้วยความรักที่น่าประทับใจ
หายใจเข้าจมูก เป่าลบทางปากไปเรื่อยๆ นับในใจหลังทำแต่ละรอบ 1-10 จากนั้นให้น้องพ. พูดคำว่า "ผ่อนคลาย" ออกมารวม 10 ครั้ง ... ขอบคุณคะ เทคนิคนี้ ผู้ใหญ่อย่างตัวเองก็แอบทำไปด้วย :)
ขอบคุณมากครับคุณหมอ ป. อ.นุ และพี่เปิ้ล
ขอบคุณมากครับคุณปริม ครูอ้อย และคุณปณิธิ
ความรักของครอบครัว ส่งผลต่อพฤติกรรมของลูกหลาน
เห็นด้วยกับความคิดเห็นของคุณ Kunrapee ... ขอบคุณมากครับ
เมื่ออ่านจบรู้สึกประทับใจกับกรณีศึกษานี้มากเลยค่ะ รู้สึกได้ถึงความรักที่พ่อแม่มีต่อน้องพ. :)
ต้องขอบคุณอาจารย์มากนะคะ ที่นำกรณีศึกษานี้มาแบ่งปันให้ได้อ่าน
ดิฉันคิดว่า จะนำการตรวจประเมินที่อาจารย์นำมาประเมินน้องพ.มาเป็นแนวทางคร่าวๆในการตรวจประเมินตอนไปฝึกงานของดิฉันได้ค่ะ
และจากการอ่านบทสนทนาของอาจารย์และน้องพ.แล้ว ยังได้คำพูดที่อาจารย์ใช้เทคนิคพูดซ้ำเพื่อให้น้องพ.ได้ทบทวนความคิด และมองโลกในแง่บวกมากขึ้น ดิฉันคิดว่าสามารถนำไปใช้ในอนาคตได้ด้วยค่ะ
Dr. Popจากบันทึกนี้ทำให้เห็นว่าสังคมแวดล้อมมีผลต่อพฤติกรรมของเด็กมาก สถาบันครอบครัวเป็นสิ่งแวดล้อมที่สำคัญมากต่อตัวเด็ก เพราะพฤติกรรมเด็กจะปรับเปลี่ยนไปตามการเลี้ยงดูของครอบครัว ดังนั้นสิ่งที่หนูได้จากการอ่านบันทึกนี้ก็คือความบกพร่องที่เกิดขึ้นในผู้รับบริการอาจไม่ได้มาจากพันธุกรรม หรือ สารสื่อประสาทในสมองที่ผิดปกติไปเพียงอย่างเดียว แต่บางครั้งอาจเกิดจากสังคมแวดล้อม ถ้าหากสังคมดีก็ส่งผลให้สุขภาพจิตดี ในการรักษาทางกิจกรรมบำบัดจึงไม่ได้เน้นรักษาแค่ให้ผู้รับบริการกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้เพียงอย่างเดียว แต่จะต้องรวมไปถึงการมีปฎิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นเพื่อให้ผู้รับบริการอยู่ร่วมกับบุคคลในสังคมได้อย่างมีความสุขทั้งครอบครัว ชุมชน สังคมประเทศ
Dr. Popออ่านจากบันทึกแล้วรู้สึกว่ากิจกรรมบำบัดที่อาจารย์ได้ทำให้กับน้องดีมากๆเลยค่ะ พยายามให้น้องได้ทบทวนและคิดว่าน้องรักใครบ้าง ทั้งๆที่ความจริงการที่น้องพูดว่าไม่อยากรักใคร เป็นเพราะน้องจำแต่สิ่งไม่ดีที่พ่อแม่ทำกับตัวเอง แต่ลึกๆแล้วน้องรักทุกคนในบ้าน พ่อแม่เมื่อเห็นลูกตัวเองไม่เหมือนเด็กคนอื่นอาจจะคิดว่าลูกตัวเองเป็นโรคผิดปกติอะไรบางอย่างทั้งๆที่ความจริงแล้วลืมพิจารณาถึงการกระทำของตัวเองที่ได้ทำกับลูกไว้ ทำให้ดิฉันได้ข้อคิดต่างๆมากมาย เช่น การเลี้ยงดูเด็ก1คนไม่ใช่เรื่องง่าย การเลี้ยงดูและการปลูกฝังสิ่งที่ดีเป็นสิ่งจำเป็นมาก เพราะมันจะติดตัวเด็กไปตลอดชีวิต เราสร้างภาพทางบวกให้กับเด็ก เด็กก็จะมีภาพบวกติดตัว เห็นคุณค่าในตนเอง และนอกจากนี้ยังสามารถนำไปใช้ในเรื่องอื่นๆในชีวิตได้อีกด้วยนะคะ เช่น เมื่อเกิดปัญหาไม่เพียงแต่ต้องหาสาเหตุเท่านั้น เราต้องอย่าลืมมองตัวเองด้วย ว่าเราเป็นสาเหตุที่ทำให้ตัวเรากำลังเจอปัญหาอยู่ตอนนี้หรือเปล่า