ผมเขียนบทความเรื่อง"ปฏิรูปราชการด้วยสัจจะลดรายจ่ายวันละ1บาท แก้จนอย่างยั่งยืน"ด้วยความประทับใจและเชื่อในพลังความเปลี่ยนแปลงของขบวนการดังกล่าว
ตัวอย่างบางตอน"การดำเนินงานของดร.ครูชบ ยอดแก้วที่จังหวัดสงขลาและคุณสามารถ พุทธา ที่จังหวัดลำปางซึ่งมีสมาชิกจำนวน 72 กลุ่มรวมกันประมาณ 40,000 คนเป็นตัวอย่างที่ดีของการริเริ่มทำ สวัสดิการภาคประชาชนด้วยการลดรายจ่ายวันละ 1 บาท โดยมีองค์การบริหารส่วนตำบลและ องค์การบริหารส่วนจังหวัดให้การสนับสนุน รวมทั้งการนำร่องจัดตั้งกองทุนสวัสดิการชุมชนของรัฐบาลกลางโดยศูนย์อำนวยการต่อสู้เพื่อเอาชนะความยากจนแห่งชาติภาคประชาชนผ่านทางสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนที่สมทบเงินทุนให้กับองค์กรชุมชนเป้าหมายจำนวน 200 ตำบล ทั่วประเทศ หากขยายโครงการให้ครอบคลุมทุกตำบลจะช่วยลดรายจ่ายของประชาชนลงวันละ 65 ล้านบาท เดือนละ 195 ล้านบาท ปีละ 2,340 ล้านบาท และถ้าใช้เกณฑ์ให้ภาครัฐสมทบเงินทุน ที่เกื้อหนุนราชการและลูกจ้างที่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและกองทุนประกันสังคม รวมทั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการอยู่แล้วโดยหักคนที่ซ้ำซ้อนออกในอัตรา 1 : 1 ก็จะมีผู้ที่ตกอยู่ในข่ายได้รับความช่วยเหลือประมาณ 20 ล้านคน คิดเป็นเงินปีละ 720 ล้านบาท รวมทั้งการสมทบจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งในระดับตำบลและจังหวัด รวมกันทั้งสิ้นประมาณ 2,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเป็นเงินไม่มากเลย"
สนใจอ่านฉบับเต็มได้ในเอกสารแนบ
ดีใจมากเลยที่เริ่มมีผู้เข้าใจว่า การถ่ายโอนภาระกิจจากท้องถิ่นไปยังชุมชนนั้น ทำได้ เรื่องนี้ได้เสนอแนวความคิดมาแล้ว 2 ปีเพื่อให้ การสนับสนุนชุมชนโดยท้องถิ่นเป็นไปอย่างเป็นระบบ มิใช่ให้เพราะชอบพอกัน หรือเป็นครั้งเป็นคราว
การถ่ายโอนภาระกิจที่พยายามเผยแพร่ก็เพื่อจะบอกว่า นี่คือแนวทางหนึ่งที่เป็นการสมทบให้แก่ชุมชน
และต้องเข้าใจอีกว่าการถ่ายโอนภาระกิจคือการมอบงาน(งาน คือ หน้าที่ ภาระกิจ บวก เงิน บวกคน)
และก็ต้องทราบด้วยว่าขอบเขตหน้าที่ของชุมชน ท้องถิ่น(องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกรูปแบบ) และรัฐบาลเป็นอย่างไร
องค์ประกอบต่างๆเหล่านี้จะทำให้เกิดความถูกต้อง โป่รงใส ตรวจสอบดูแลซึ่งกันและกันได้ เป็นที่ยอมรับ และนี่คือความยั่งยืนของชุมชน