ระบบสารสนเทศเชิงกลยุทธ์


ระบบสารสนเทศเชิงกลยุทธ์

          ระบบสารสนเทศกับการเปลี่ยนแปลงในองค์การ   เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเครื่องมือสำหรับการรื้อปรับระบบและการเปลี่ยนแปลงองค์การใน 4 ระดับ คือ การปรับเปลี่ยนระบบงานเดิมให้เป็นระบบงานอัตโนมัติ การเปลี่ยนแปลงระดับกระบวนการปฏิบัติงาน การออกแบบระบบงานใหม่ และการเปลี่ยนแนวความคิด

ระบบสารสนเทศกับการเปลี่ยนแปลงองค์การ

          เทคโนโลยีสารสนเทศนอกจากจะถูกนำมาช่วยในการดำเนินงานขององค์การให้บรรลุตามวัตถุประสงค์แล้ว  ยังเป็นเครื่องมือสำหรับการรื้อปรับระบบและการเปลี่ยนแปลงองค์การใน  4  ระดับ  คือ

          1.  การปรับเปลี่ยนระบบงานเดิมให้เป็นระบบงานอัตโนมัติ (Automation)

          2.  การเปลี่ยนแปลงระดับกระบวนการปฏิบัติงาน (Rationalization of Procedures) 

          3.  การออแบบระบบงานใหม่ (Business Process Reengineering : BPR)

          4.  การเปลี่ยนกระบวนทัศน์ (Paradigm Shifts)

ระดับของกลยุทธ์

          กลยุทธ์ (Strategy)  คือ   แผนรวมขององค์การที่นำเอาข้อได้เปรียบและจุดเด่นในด้านต่างๆมาใช้ประโยชน์  และปรับลดจุดด้อยเพื่อแสวงหาโอกาสและหลีกเลี่ยงอุปสรรค  ซึ่งจะทำให้องค์กรสามรถอยู่รอดและเจริญเติบโตได้ในระยะยาว  รวมทั้งสามารถเอาชนะคู่แข่งได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยทั่วไปมีกลยุทธ์ 3 ระดับ  ดังนี้

          1. กลยุทธ์ระดับบริษัทหรือองค์การ (Corporate Strategy)   กำหนดโดยผู้บริหารระดับสูง ให้ความสำคัญกับการดำเนินงานในระยะยาว  มุ่งพิจารณาถึงธุรกิจที่องค์การควรดำเนินการ

          2. กลยุทธ์ระดับธุรกิจ (Business Strategy) กำหนดโดยผู้บริหารหน่วยธุรกิจ ให้ความ สำคัญกับการแข่งขันของหน่วยธุรกิจ

          3. กลยุทธ์ระดับหน้าที่ (Functional Strategy) กำหนดโดยหัวหน้าหน่วยงานตามหน้าที่ทางธุรกิจ เช่น  การเงิน การตลาด การดำเนินการ และทรัพยากรบุคคล   เพื่อสนับสนุนและสอดคล้อง กับกลยุทธ์ระดับที่สูงกว่า

กระบวนการจัดการเชิงกลยุทธ์

          1. การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม (SWOT Analysis)  วิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายใน ภายนอกองค์การ   การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอกองค์การจะพิจารณาเกี่ยวกับโอกาส และ อุปสรรค จะแบ่งเป็น

               - การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมทั่วไป   วิเคราะห์ถึงปัจจัยที่มีผลกระทบต่อธุรกิจในมุมกว้าง เช่น ปัจจัยทางการเมือง  เทคโนโลยี  สังคม  และ เศรษฐกิจ

               - การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมในการดำเนินงาน   เป็นการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมที่มีอิทธิพลเกี่ยวเนื่องกับการดำเนินงานโดยตรง เช่น รัฐบาล วัตถุดิบ คู่แข่งขัน ลูกค้า

               - การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายใน ช่วยให้ทราบถึงจุดแข็ง  จุดอ่อน ขององค์การ 

          2. การกำหนดกลยุทธ์ (Strategy Formulation)  นำข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมมากำหนดทิศทาง แนวทาง กรอบความคิด

          3. การนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ (Strategy Implementation)  นำแผนที่กำหนดไปปฏิบัติให้บรรลุผลสำเร็จต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเกี่ยวกับปัจจัยทั้งทางตรงทางอ้อมที่มีผลต่อความสำเร็จและล้มเหลวของกลยุทธ์

          4. การควบคุมกลยุทธ์ (Strategy Control)  กำหนดกฎเกณฑ์ และมาตรฐานเพื่อเป็นแนวทางในการวัด และเปรียบเทียบผลการดำเนินงานกับมาตรฐานที่กำหนดไว้ การควบคุม ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลว่าเป็นไปตามแนวทางที่ต้องการหรือไม่

ความหมายของระบบสารสนเทศเชิงกลยุทธ์

          ระบบสารสนเทศเชิงกลยุทธ์   คือ ระบบสารสนเทศใดๆที่มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาสภาพการแข่งขันขององค์การให้ดีขึ้น

          ระบบสารสนเทศเชิงกลยุทธ์   คือ ระบบที่สนับสนุนหรือกำหนดแนวทางกลยุทธ์ในการแข่งขันของหน่วยธุรกิจ

          ระบบสารสนเทศเชิงกลยุทธ์   คือ ระบบสารสนเทศที่ช่วยให้องค์การสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน  ลดความเสียเปรียบ ช่วยให้บรรลุตามวัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ์ขององค์การ

โมเดลแรงผลักดันในการแข่งขันของพอร์เตอร์  ( Portes’s Competitive Force Model)

          ไมเคิล  อี. พอร์เตอร์  ได้พัฒนาโมเดลเพื่อวิเคราะห์สภาวะการแข่งขัน โดยองค์การจะประสบแรงผลักดันในการแข่งขัน ( Competitive Forces ) ดังนี้

          1. อุปสรรคจากผู้แข่งขันรายใหม่ที่เข้าสู่ตลาด  ( Threat  of   Entry  of  New  Competitors  )

          2. อำนาจการต่อรองของผู้ขายปัจจัยการผลิต  ( Bargaining  Power  of  Suppliers )

          3. อำนาจการต่อรองของผู้ซื้อ หรือ ลูกค้า  (Bargaining  Power  of  Buyers/Customers )

          4. การแข่งขันระหว่างกิจการต่างๆในอุตสาหกรรม  ( Rivaly  Among  Existing  Competitors )

          5. อุปสรรคที่เกิดจากสินค้า หรือ บริการทดแทน  ( Threat  of  Substitute Products/Services )

          โมเดลแรงผลักดันในการแข่งขันของพอร์เตอร์

โมเดลแรงผลักดันในการแข่งขันของพอร์เตอร์

พอร์เตอร์  ได้เสนอกลยุทธ์ในการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน  ดังนี้

          1. กลยุทธ์ในการเป็นผู้นำด้านราคา (Cost  Leadership  Strategy)  องค์การจะต้องค้นหาให้ได้ว่าสินค้าหรือบริการที่ดีในความรู้สึกของลูกค้ามีลักษณะพื้นฐานอย่างไร และจะต้องบริหารกระบวนการผลิตสินค้าหรือบริการนั้นให้มีต้นทุนต่ำที่สุดในอุตสาหกรรม

          2. กลยุทธ์สร้างความแตกต่าง (Differentiation  Strategy ) การสร้างบริการขององค์การให้มีลักษณะที่โดดเด่น แตกต่างจากคู่แข่งขัน ไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ ทำให้ลูกค้ายึดติดในสินค้า และบริการนั้น

          3. กลยุทธ์เน้นกลุ่มเป้าหมาย  (Focus  Strategy)  การเลือกตลาดเป้าหมายสำหรับสินค้าหรือบริการที่มีลักษณะแคบลง หรือ มีตลาดเฉพาะด้าน ซึ่งจะมีคู่แข่งน้อยลง แต่มีช่องว่างทางการตลาด กลยุทธ์นี้จะใช้ความพิเศษเหนือกว่าคู่แข่งขันทั้งในด้านสินค้า และ บริการ เช่น  กระเป๋ายี่ห้อดัง ( Brand Name ) รถยนต์ที่เน้นความปลอดภัยขอผู้ขับขี่และผู้โดยสาร  นาฬิกา “ สวิซส์ ”  สุดยอดแห่งความเที่ยงตรง คงทนและงดงาม

กรอบแนวคิดของไวส์แมน

          ไวส์แมน ได้ขยายความคิดของ พอร์เตอร์ และเสนอกรอบแนวคิดที่เรียกว่า ทฏษฎีแรงผลักดันด้านกลยุทธ์ (Theory of Strategy Thrust ) องค์การจะจัดการเก็บแรงผลักดันต่างๆ โดยสร้างกลยุทธ์ดังนี้

          1. กลยุทธ์สร้างความแตกต่าง (Diffentiation)

          2. กลยุทธ์ด้านราคา  (Cost)

          3. กลยุทธ์ด้านนวัตกรรม  (Innovation)

          4. กลยุทธ์ด้านการเจริญเติบโต (Growth)

          5. กลยุทธ์ด้านพันธมิตร (Alliance)

          โดยมีแนวคิดกลยุทธ์สร้างความแตกต่าง  และกลยุทธ์ด้านราคา จะเหมือนกับแนวคิดของพอร์เตอร์ สำหรับกลยุทธ์ด้านนวัตกรรมนั้นเป็นวิธีการหรือการกระทำใหม่เพื่อสร้างสินค้าใหม่ ผลิตและส่งสินค้า ซึ่งจะทำให้ลูกค้าเกิดความพอใจ หากมีการพัฒนานวัตกรรมของสินค้า หรือบริการอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้คู่แข่งไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ทัน

          ส่วนกลยุทธ์ด้านการเจริญเติบโตเป็นการขยายตัว และสร้างคุณค่าให้กับสินค้าหรือบริการเพิ่มขึ้นโดยอาจขยายตัวในแนวระนาบ

          องค์การอาจใช้กลยุทธ์ด้านพันธมิตร เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน เช่น การสร้างระบบสารสนเทศระหว่างองค์การ ที่เชื่อมต่อระบบสารสนเทศขององค์การเข้ากับระบบสารสนเทศขององค์การอื่น โดยมีการใช้ข้อมูลร่วมกันและเป็นกระบวนการทำงานอัตโนมัติ

โมเดลห่วงโซ่คุณค่า  (Value Chain Model)

          พอร์เตอร์  ได้เสนอโมเดลห่วงโซ่แห่งคุณค่า ซึ่งเน้นกิจกรรมหลัก และกิจกรรมสนับสนุนที่เพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าหรือบริการขององค์การ หรือราคาของสินค้านั้นมีผลมาจากการเชื่อมโยงคุณค่าในแต่ละขั้นตอน

          โมเดลห่วงโซ่คุณค่า  กิจกรรมที่มีความสัมพันธ์ และเชื่อมโยงกันเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทรัพยากรนำเข้า  โดยเริ่มตั้งแต่กระบวนการนำวัตถุดิบ จากผู้ขายวัตถุดิบเข้าสู่กระบวนการผลิต กระบวนการจัดจำหน่าย  จนถึงกระบวนการจัดส่งไปสู่ผู้บริโภคขั้นสุดท้าย และบริการหลังการขาย

          1. กิจกรรมหลัก (Primary Activities)

               กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการผลิต  กระจายสินค้าหรือบริการ  การส่งมอบ และบริการหลังการขาย  ได้แก่

               -  การลำเลียงเข้า  (Inbound Logistics)    เป็นกิจกรรมที่ลำเลียงวัตถุดิบ หรือทรัพยากรทางธุรกิจเข้าสู่อง๕การ

               -  การดำเนินงานหรือการผลิต  (Operations)  เป็นกิจกรรมในการแปลงวัตถุดิบ หรือ ทรัพยากรทางธุรกิจให้เป็นสินค้าหรือบริการ

               -  การลำเลียงออก  (Outbound LOGISTICS)  เป็นกิจกรรมในการลำเลียงส่งสินค้า ที่ผลิตแล้วออกสู่ตลาดซึ่งเกี่ยวกับงานคลังสินค้า  การจัดการวัสดุ  และการกำหนดตารางการจัดส่ง

              -  การตลาดและการขาย  (Marketing and Sales)    เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการขาย  ช่องทางการจัดจำหน่าย  การกำหนดราคา  และส่วนประสมผลิตภัณฑ์

              -  การบริการ (Services)  เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวกับการให้บริการลูกค้า  เช่น การติดตั้ง  การซ่อมแซมผลิตภัณฑ์

          2. กิจกรรมสนับสนุน  (Support Activities) 

              กิจกรรมที่ช่วยสนับสนุนการดำเนินการของกิจกรรมหลัก  ได้แก่

              -  โครงสร้างพื้นฐานของบริษัท  (Firm  Infrastructure)   ประกอบด้วยกิจกรรมเกี่ยวกับการเงิน  การบัญชี  การจัดการทั่วไป  กฎหมาย  และระบบข้อมูล

              -  การบริหารทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Management)   ประกอบด้วยกิจกรรมด้านการจัดหา  การคัดเลือก  การฝึกอบรม และพัฒนา  การยกระดับความรู้และทักษะ รวมถึงการรักษาสัมพันธภาพที่ดีกับพนักงาน

              -  การพัฒนาเทคโนโลยี  (Technology Management)   เกี่ยวข้องกับงานวิจัย และพัฒนา

              -  การจัดหา   ( Procurement)   เกี่ยวข้องกับการซื้อปัจจัยการผลิต เช่น  วัตถุดิบ อุปกรณ์  เครื่องจักร วัสดุสิ้นเปลือง

ผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศ  (IT) ต่อการแข่งขัน

          พอร์เตอร์ และ มิลลาร์ กล่าวถึงผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศ  ต่อการแข่งขันใน 3 แนวทางที่สำคัญ  คือ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอุตสาหกรรม และ กฎ ในการแข่งขัน

          1.  การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอุตสาหกรรม

          2.  การใช้ไอทีที่ช่วยให้มีการดำเนินงานที่ดีเหนือคู่แข่งขัน    

          3.  การใช้ไอทีในการสร้างธุรกิจใหม่

ความสัมพันธ์ระหว่างแผนกลยุทธ์ธุรกิจ  และ แผนกลยุทธ์ระบบสารสนเทศ

          1. ระบบบริหารคลังสินค้าอัตโนมัติ และระบบการวางแผนการผลิต   ช่วยให้การจัดเก็บวัตถุดิบในคลังมีจำนวนที่เหมาะสม  ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบริหารวัสดุคงคลัง

          2. ระบบเชื่อมโยงเครือข่ายระหว่างพันธมิตร   เทคโนโลยีสารสนเทศสามารถถูกนำมาเป็นเครื่องมือในการเชื่อมโยงธุรกิจขององค์การกับบริษัทพันธมิตรเข้าด้วยกัน  เช่น  การใช้ระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเลคทรอนิกส์ หรือ อินเตอร์เน็ตในการเชื่อมโยงองค์การเข้ากับผู้จัดส่งวัตถุดิบในการผลิต เพื่อให้มีวัตถุดิบเพียงพอ และในระดับที่เหมาะสมกับความต้องการ  องค์การทำการเชื่อมโยงผู้จัดส่งวัตถุดิบ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลสารสนเทศกัน และ สามารถทำงานร่วมกันได้

          3. ระบบฐานข้อมูลลูกค้า  โดยข้อมูลลูกค้าอาจได้มาจากหลายแหล่ง เช่น นำข้อมูลลูกค้ามาจากเว็บไซต์โดยใช้ซอร์ฟแวร์สำหรับติดตามลูกค้า มาใช้ในการติดตามพฤติกรรมลูกค้า ข้อมูลที่ได้รวบรวมมาจะถูกนำมาวิเคราะห์หาสิ่งที่สนใจ

          4. ระบบบริการหลังการขาย   ติดตามปัญหาของลูกค้าในการใช้สินค้า หรือบริการ ไม่ว่าจะเป็นคำร้องเรียน  ปัญหาที่เกิดขึ้น ข้อคิดเห็นต่างๆ จะช่วยให้ฝ่ายตลาดไปใช้ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ หรือการบริการให้ดีขึ้นกว่าเดิม

ที่มา : http://armka2518.exteen.com/20090222/entry

หมายเลขบันทึก: 502178เขียนเมื่อ 13 กันยายน 2012 22:04 น. ()แก้ไขเมื่อ 13 กันยายน 2012 22:13 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท