ฟังข่าวภาคค่ำ พิษจากลูกมะเกลือ ทำให้คนตาบอด รายนี้เกิดขึ้นที่จังหวัดสุโขทัย แม่นำผลมะเกลือมาบดให้ลูกกิน10 ลูก เพื่อถ่ายพยาธิ์
ปรากฎว่าลูกกินแล้วมีอาการอาเจียนอย่างรุนแรง ปวดหัวมาก ตอนเช้าไปหาหมอและรักษาอาการแพ้นั้น
ผลจากการกินลูกมะเกลือเกินขนาด ฤทธิ์ของมะเกลือทำให้สมองบวมและไปกดเส้นประสาทส่วนการมองเห็น ทำให้ตาบอด
ฟังแล้วเศร้าใจจัง ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของแม่แท้ๆๆ ลูกเลยต้องตาบอด กลายเป็นคนพิการ
ตอนเป็นเด็กก็จำได้ว่า แม่ก็เคยให้เรากินผลมะเกลือเหมือนกันเพื่อถ่ายพยาธิ์ แต่เรากินนิดเดียว เพราะกินยากมากทั้งขมทั้งฝาด
สรุปว่า แม่ก็ขาดองค์ความรู้ในเรื่องการใช้สมุนไพรไทย จึงเกิดเรื่องเศร้าขึ้น การทำอะไรก็แล้วแต่ ควรอยู่ในความพอดี คือเดินสายกลาง มากเกินไปก็เป็นโทษ น้อยเกินไปก็เป็นโทษ
เรื่องนี้เป็นบทเรียนราคาแพง ที่หน่วยงานสาธารณสุขต้องพัฒนาองค์ความรู้ให้แก่ประชาชนเข้าใจ และรู้จักใช้สมุนไพรให้เกิดประโยชน์
เสียใจด้วยมาก ๆ เลยครับ จริง ๆ ลูกมะเกลือ หากใช้โดยเป็นไปตามภูมิปัญญาชาวบ้านจริง ๆ จะไม่พบอุบัติการณ์เช่นนี้เลยครับ
ผมเรียกเหตการณ์อย่างนี้ว่า "ความไม่สมบูรณ์ของความรู้" กล่าวคือเรา (Provider) จะสื่อสารออกไปว่า สมุนไพรอะไรดี ดีอย่างไร แต่ใช้อย่างไร และต้องระวังอย่างไรบ้าง เราสื่อสารไปไม่ครบนะครับ (เป็นมุมมองด้าน Provider เพียงด้านเดียวนะครับ)
โอ้โห...กระทู้นี้พลาดไปได้ไงเนี่ย...เพิ่งเห็นนะคะ
ความจริงเรื่อง กินลูกมะเกลือ เพื่อถ่ายพยาธิในเด็กแล้วทำให้ตาบอดนั้น
ดิฉันไม่เคยกินหรอกนะคะ ( อิอิ ตอนเด็กๆไม่มีอาการทำให้ผู้ใหญ่สงสัยว่าเป็นพยาธิค่ะ ) แต่ดิฉันได้รู้จัก อาจารย์ตาบอดท่านนึงปัจจุบันท่านสอนในมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งหนึ่ง ท่านก็ตาบอดด้วยสาเหตุนี้
น่ากลัวนะคะ ตั้งแต่นั้นมา ดิฉันจะบอกกับผู้ปกครองที่รู้จักเสมอว่า อย่าใช้วิธีนี้ถ่ายพยาธิเด็ก ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อมั่นในการใช้สมุนไพรไทยนะคะ แต่เราไม่รู้ว่าจริงๆแล้วขนานยานั้นเท่าใดกันแน่ และเท่าใดจะมีผลถ่ายพยาธิ และเท่าใดที่มีผลอันตารายกับเด็กๆ
ไม่คุ้มค่ะ ถ้าชีวิตบริสุทธิ์ชีวิตนึงต้องเข้าสู่โลกมืดด้วยสาเหตุนี้ จึงห้ามและเลือกที่จะแนะนำให้ใช้ยาแผนปัจจุบัน แม้จะเป็นสารเคมีก็เถอะนะคะ