ไม้ไกลฝั่ง


ความเจ็บเป็น เป็นธรรมดา

พรุ่งนี้เป็นวันหยุด แม่กับพ่อบอกเราว่าจะไปทำบุญพร้อมป้ากับลุงที่บ้านตา ป้าไปถวายจังหันเช้า และถวายเทียนเข้าพรรษา 9วัด พ่อบอกให้เราตื่นเช้าให้ไปทันถวายจังหันพร้อมกับป้ากับชาวบ้านเลย

 

"ทำไมต้องตื่นเช้า' "ไม่"เราตอบสั้นๆ  แม่เลยปรามเราว่าปีนึงทำบุญใหญ่ครั้งหนึ่งต้องพยายามตื่นทำบุญ การสะสมบุญไว้ทำให้เรามีทุนต่อไป การทำบุญไม่ใช่ว่าจะหวังผลตอบแทน แต่เราทำบาปทุกวันลูก เช่นเมื่อกี้ น้องพูดว่า 'ไม่'คำเดียว แทนที่จะพูดยาวขึ้นนิดนึง

 ไม่ค่ะ แค่น้องพูดสั้นๆไม่ตั้งใจก็ทำให้พ่อแม่เสียใจ แล้ว นี่แหละคือบาปที่น้องทำโดยไม่ตั้งใจ แล้วคำพูด ขอโทษ และขอบคุณ ต้องติดปากนะลูก 

 

ลงท้ายค่ะด้วยเพราะเสียงน้องห้วนแล้วไม่น่าฟัง

 

"ขอโทษค่ะพ่อ" 

 

"น้องไม่ตั้งใจพ่อรู้ไม่เป็นไรพ่อให้อภัยแต่คนอื่นเขาจะดูที่เราแสดงออกมันบอกว่าพ่อแม่สั่งสอนยังไงด้วยนะลูก "

 

 

ทุกครั้งที่พ่อบอกเราจะรู้สึกว่าเหตุผลของพ่อมันมากมายใช่สิก็พ่อเป็นครู  คะ- รู  คือผู้รู้ เราจำได้ตอนเด็กๆ พ่อพาเรากับพี่ไปนอนเวรที่โรงเรียน แม่ลงเวรจากโรงพยาบาล ก็หลับเป็นตาย เมื่อไฟไหม้ที่ป่าชุมชน หลังโรงเรียนที่เป็นป่าอนุรักษ์ที่พ่อกับชาวบ้านช่วยกันดูแลให้เป็นตลาดกับข้าวของชาวบ้าน หน้าเห็ด หน่อไม่ ผักป่าต่างๆ  แต่ตอนนั้นพ่อพาเรากับพี่หักไม้ตีไฟที่ลาม

 

 (พ่อลืมไปรึเปล่าว่าเด็กน้อยสองคนอายุแค่เด็กปอ สาม ปอสี่ ตอนนั้นพี่ชายเราอ้วนเป็นหมูตอน มิหนำซ้ำก็เป็นเด็กในเมือง อิๆๆๆ)

 

 

    เป้าหมายมีไว้วิ่งชนพ่อชอบพูดคำนี้ ดังนั้นพ่อถึงพาพวกเราวิ่งชนไฟ เกือบรอบๆป่า ดีนะที่สัญญาณโทรศัพท์ติด   ตรงท้ายป่าพ่อส่งสัญญาณได้

 

บอกชาวบ้านประกาศเสียงตามสายมาช่วยกันดับไฟป่า=เราประทับใจจำไม่ลืมชาวบ้านแห่ออกมาบางคนก็ได้ยินเสียงปืนเป็นสัญญาณเตือนฉุกเฉินวันนั้นพอดับไฟเสร็จชาวบ้านก็ช่วยกันทำแนวกันไฟเสร็จจนเกือบเย็น)

 

พวกเราเดินกลับแทบเดินไม่ไหว แต่ก็ไม่รู้ว่าระยะทางที่เดินพ่อสอนเรื่องคุณค่าของต้นไม้ ป่า กับชีวิตของชาวบ้านให้เราฟัง 

 

 

    ก็เหมือนบ้านปู่ที่น่านเเหล่ะ ป่าใกล้บ้านยังอุดมสมบูรณ์มาก(มากจนพ่อพาพวกเราหลงป่า  ปู่ต้องขอแรงชาวบ้านต้องออกตามหากัน  เพราะพ่อพาพวกเรากลับบ้านไม่ถูก)

 

วันที่สองสิงหาคม

   ป้าบอกว่าให้ไปถึงวัด 10โมงเช้าดังนั้น 9โมงทุกคนต้องเรีบยร้อยพร้อมออกเดินทาง  พี่ชาวสุดหล่อของเราบอกว่าต้องเตรียมงานวันแม่ที่โรงเรียน(ปีนี้พรรคของพี่ชายเป็นตัวแทนของโรงเรียน งานจึงหนักหน่อย โชคร้ายเหมือนกันนิ เพราะปี่อยู่มอ ห้า เหลือปีเดียวก็ต้องเอนสะท้านเราคิดว่าพี่ต้องเหนื่อยน่าดู เเต่ช่างเถอะ ทำหน้าที่เป็นสภานักเรียนเนี่ยก็ ดึงดูดใจสาวๆว่างั้นอิๆๆ

 

   อากาศดีจัง

            วันนี้เราเป็นสารถีพาพ่อกับแม่ไปทำบุญที่วัด ป้าโทรมาบอกว่า ถวายเทียนวัดแรกเสร็จแล้วให้ไปรออีกวัดป่าบ้านโนนม่วงเลย เส้นทางที่ผ่านไปวัดผ่านทุ่งนาและทางขรุขระมาก พ่อบอกว่ารถเราต้อเปลี่ยนโช๊คบ่อยเพราะทางที่ไปโรงเรียนพ่อ กับทางไปวัดเหมือนกันเลย  แต่ทางโรงเรียนของพ่อ มีวัว-ควายเยอะมาก (เราเรียกว่าถนนควายเดินเพราะบางทีเดินเต็มถนนเคยบีบแตรไล่ เจ้าพระคุณเอ้ย เอาเขาขวิดข้างรถเสียนี่ไม่มีเจ้าของอีกตะหาก)

  'ว้า  ข้าวแห้งตายแหง๋แก๋    แล้งจัง '

 

      มาถึงวัดป่าเล็กๆเต็มไปด้วยป่าล้อมรอบ คุณยายที่รู้จักแม่ต่างเข้ามาทักทายเล่าอาการและอยากได้ยาแก้ปวดไว้รับประทาน แม่เราก็ตามเคย จะบอกให้ฟังของผักสมุนไพร คราวนี้เราได้ยินแม่บอกให้คุณยายทั้งหลายใช้แกนกล้วยที่ออกหวีแล้ว เอามาต้มกิน  จะช่วยกรองของเสียป้องกันนิ่ว    ถ้ามีพุทธรักษาดอกสีขาวยิ่งดีใหญ่  อะไรประมาณนี้แหละ อีกทั้ง พวกผักสาบผักฯลฯ แม่มักจะบอกชาวบ้านให้กินผักเป็นยา

 

 

ความเจ็บป่วยเป็นธรรมดา (คำคมที่ติดไว้กับต้นไม้หน้าวัด)

 

   คุณยายมักจะถามเรื่องยาดี แก้ปวดเมื่อยตามตัว แม่ก็บอกว่า ยืดเส้นยืดสายเป็นประจำ ถ้าไม่ถามถึงมันก็ไม่ต้องใช้ยา ยิ่งใช้มากยิ่งอันตราย เราคิดว่าแม่นะแม่แล้วจะช่วยอะไรด้าย ก็คนแก่ขอให้มีอะไรให้กับมือเถอะเป็นดีใจ

 

 

    สุดท้ายแม่ก็ให้ยาหม่องที่ติดตัวทาให้คุณยายแต่ละคนและนั่งคุยกันไปนวดไป และก็เอาไว้ให้คุณยายทาถูทาถู

( รอหลวงปู่รับต้นเทียน)

 

 

 

'อีหล่าแม่โตกะคือแม่ใหย่โตน้อนาง หมั่นคือกันหลาย ฮักพี่ฮักน้องไปอยู่พู้นกะหยังมาทอดเทียน ให้เจริญๆเด้อ"

 

เสร็จแล้ววัดแรกของวันนี้

 

เราไปถวายเทียนเข้าพรรษาเจอเด็กน้อยชั้นประถมมาจำศีลกับยาย ก็รู้สึกดี จริงๆ ดีมากที่ตัดสินใจผลักเจ้าความขี้เกียจออกไปได้มารู้มาเห็นโลกภายนอกซะบ้าง เด็กในเมืองแสนขี้เกียจเช่นเรา รู้ซึ้งถึงความเป็นอยู่ของชาวบ้าน

 

วัดที่หกเจอพี่สาวคนสวยมานั่งวิปัสสนา กรรมฐาน เป็นวัดเล็กๆมีคนน้อย  พี่เขาบอกว่ามาปฏิบัติธรรมได้ห้าปีแล้ว

 

  วันนี้เราถวายเทียนได้หกวัด ก็ต้องรอรอบบ่ายสามเพราะพระลงอุโบสถแล้วเราก็ต้องไปวัดที่หมู่บ้านเราที่ป้าต้อยไปจำศีลภาวนา วัดนี้แม่ก็ช่างเป็นคุณหมอที่ชาวบ้านมาถามๆๆๆๆเรื่องเจ็บป่วย เราก็เดาคำตอบแม่ได้ ออกกำลังกาย

 

กับกินผักให้เป็นยา  แต่วัดนี้หลวงปู่พูดถึงวิตามินซี  แม่ก็บอกกับพวกยายๆที่มานั่งบรรจุยาไว้แจกแม่ออกที่มาจำศีล  (มีคนเอายามาถวายหลวงปู่) หมากส้ม   พวก หมากสัง หมากขามป้อม หมากส้มมอ หมากขาม วิตามินซี หลายอีหลี หมากสังอยู่ท้ายรถที่แม่เก็บมาจากวัดป่า(วัดที่หกมั้ง) แม่เลยให้ยาย

 

หลวงปู่บอกว่า เติมเกลือจั่กหน่อย

 

'ส้มปาก'หลวงปู่บอก'ลองเบิ่ง"

 

 

      แล้วแม่ก็บอกว่าไม่อยากเอายามาให้แบ่งใส่ถุงเพราะยาที่เขาบรรจุจากโรงงานมีวันผลิตและวันหมดอายุข้างขวด หมายถึงยาที่ไม่นำออกมาจากขวด แต่ถ้าเอาออกจากขวดแล้วก็จะหมดอายุเร็วขึ้น เพราะถูกลม ถูกแสง(บางตัว)

 

   แม่ก็ห่วงไปซะหมด แม่บอกว่าชาวบ้านกินยาเยอะมาก ใครบอกว่ายาอะไรดีซื้อๆๆๆๆ เสียดายเงิน ถึงเงินชาวบ้านแต่ก็เป็นเงินพวกเราที่รัฐบาลจัดการซื้อไว้ใช้ในประเทศ

 

   หลวงตา หลวงปู่ หลวงพ่อ หลวงพี่มักจะถามถึงตา  แม่กับพ่อบอกว่า ตานั่งนานไม่ได้ (เพราะตาพุงใหญ่=อ้วน) จริงๆแล้วตาชอบทำงานที่บ้านมากกว่า เราแวะไปหาตาหลังจากถวายเทียน(หลอดไฟตามสมัยใหม่)เรียบร้อย ตานั่งพรวนดิน พี่ต่ายบอกว่า ตาปลูกถั่วดกมากพี่ต่ายต้องเอาไปขาย

 

'พ่อๆปลูกหลายๆเด้อ  สิเอาป้ายมาติดหน้าบ้าน=ขายผักปลอดสารเก็บเอง'

 

แม่ชอบแหย่ตา กับตา  แม่ต้องกลับไปดูแลกินข้าวกับตาอย่างน้อยเดือนละสองครั้ง (ช่วงนี้งานแม่เยอะมาก บางวันแม่นอนตีสอง บางวันก็ตื่นเช้ามากมานั่งทำงาน ตาก็เข้าใจตอนแรกตาก็น้อยใจ แต่พ่อก็ต้องแวะมาทุกอาทิตย์เพราะทางโรงเรียนพ่อ กับบ้านตาไม่ไกลมาก แค่ 17กิโลแต่ถนนแย่)

 

  คุณยายหลายๆคนที่ชอบพูดกับแม่ว่า "ยามเจ็บเป็นเอ็นอุ่นกะอยากให้ลูกมาอยู่ใกล้ๆ" แม่โตซะแมนบุญหน่อยน้อ ยามลูกได้ดิบได้ดี พี่น้องได้เพิงกะบ่เห็น 

 

"แต่กี้แม  แม่โตแลนเฮ็ดนา'

 "เจ็บเป็น เป็นธรรมดา เฮ็ดนาฮอดมื้อตาย"

 

เราได้ยินเรื่องราวของยายจากปากชาวบ้านที่แม่พาเราไปงานศพ ชาวบ้านมักพูดถึงยาย เรื่องของความมีน้ำใจ ช่วยเหลือ และเป็นตัวตั้งตัวตีช่วยชาวบ้านรวมกลุ่มทำกิจกรรม ที่

สำคัญยายเป็นผู้หญิงเก่ง หัวใจสิงห์ ที่เลี้ยงลูกห้าคน บ้านอยู่ห่างไกลเพราะเพิ่งเก็บเงินก้อนเล็กๆซื้อที่ปลูกบ้าน

(มีหลังคา และฝาห่างๆ) รอคุณตาที่ไปเรียนต่อที่กรุงเทพ ขโมยมาลักวัวลักควาย ยาย ยิงปืนเปรี้ยงๆ  ไม่กลัวใคร (ถ้ายายเป็นอะไรลูกห้าคนจะอยู่อย่างไร  =ยายคิดรึเปล่าน้อ?)

ชาวบ้านบอกว่า  ยาย ตายแทนคนอื่นได้เสมอ

        

เรากลับบ้านทีไร ทำให้เราสลัดความเกียจคร้าน จำคำ ว่า 'ความเจ็บ เป็น เป็นธรรมดา ' แต่ละเรื่องราวได้ชัดเจนทีละน้อยๆ

 

คุณตา ใกล้แปดสิบปีแล้วยังแข็งแรง ไม้ใกล้ฝั่งเต็มที แต่ทุกครั้งที่เรามาเยี่ยมตา ตาบอกว่า ตาเป็นไม้ไกลฝั่ง เพราะตาออกกำลังกายด้วยการทำงาน  อารมณดี เพราะมีความสุข

 

ตาอารมณ์ดีแต่หลานคนนี้บางทีขี้เกียจตัวเป็นขน อายคุณตาจัง

จากบันทึกของหลานที่ขี้เกียจ

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 497040เขียนเมื่อ 3 สิงหาคม 2012 11:51 น. ()แก้ไขเมื่อ 3 สิงหาคม 2012 12:02 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท