ตอนผมเป็นประธานเยี่ยมติดตามและประเมินผลการดำเนินงานฯเขตพื้นที่การศึกษาหลายๆจังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งแต่ละเขตพื้นที่ก็จะพาผมไปเยี่ยมโรงเรียนในเขต ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นโรงเรียนที่มีผลงานดีเด่น และผลงานที่มาแสดงให้ดูทั้งระดับประถมและมัธยมก็ยอดเยี่ยมจริงๆ
แต่ละโรงเรียนก็จะให้นักเรียนเป็นผู้นำเสนอผลงานเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี แต่สิ่งที่ผมรู้สึกไม่สบายใจ ไม่ใช่ผลงานของนักเรียน แต่เป็นองค์ความรู้ในตัวนักเรียน ที่สามารถพิสูจน์ได้จากการสอบถามความรู้นักเรียน จึงพบว่านักเรียนทั้งกลุ่มยังมีปัญญาเรื่องความแน่นในความรู้ที่จะมาจัดทำโครงงานหรือพัฒนาผลงาน เมื่อถามถึงความรู้ในเรื่องนั้นจริงๆนักเรียนจะเริ่มหันซ้ายหันขวา หาตัวช่วย ซึ่งก็คือครูผู้สอนนั่นเอง บางครั้งครูจะโดดลงมาช่วยอธิบาย แต่เมื่อถามถึงตัวผลงานนักเรียนก็จะตอบได้อย่างฉะฉาน เหมือนกับมีสคริปต์ที่ท่องไว้ และมีผลงานให้ดูที่เป็นผลสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นเห็ดจัมโบ้ ถั่วงอกหัวโต อาหารสมุนไพร ฯลฯ
นึกถึงตอนเราทำวิจัยหรือทำวิทยานิพนธ์ก่อนจะได้หัวข้องานวิจัยเราจะต้องศึกษาวรรณคดีที่เกี่ยวข้องอย่างหนักอาจารย์จึงจะให้ผ่านหัวข้อ แต่พอเราดูการเรียนการสอนนักเรียนในขั้นพื้นฐานก็น่าจะมีการเตรียมความพร้อมฝึกให้นักเรียนได้รู้จักศึกษาค้นคว้าหาความรู้ในเรื่องที่จะลงมือปฏิบัติอย่างเพียงพอ ไม่ใช่เพียงฟังคำบรรยายให้ความรู้จากครูเท่านั้น เพราะปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศมีความก้าวหน้าอย่างมาก รวมทั้งมีแหล่งเรียนรู้ต่างๆมากมาย อยากจะค้นคว้าหาความรู้เรื่องใดก็สามารถทำได้สะดวก
ปัญหาอยู่ตรงไหน? ก็คงไม่พ้นคุณครูผู้สอนที่ต้องจัดกิจกรรมส่งเสริมเขาอย่างเป็นระบบ และให้ความสำคัญเรื่องกระบวนการศึกษาหาความรู้อย่างจริงจัง ไม่ใช่เพียงมอบหมายงานหรือแบ่งกลุ่มให้นักเรียนเขียนรายงานส่งครู แล้วก็ให้คะแนนเท่านั้น เพราะผลที่ปรากฏคือนักเรียนก็จะเปิดค้นหาจากเว็บกลูเกิล(กูกู๋)ไฟล์เดียวแล้วก็ก้อปปี้ส่งครู โดยที่ตนเองอาจไม่ได้อ่านรายละเอียดของเนื้อหาด้วยซ้ำ และทั้งกลุ่มอาจจะมีคนทำเพียงคนเดียว จบแล้วจบเลย ไม่มีinteraction แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันด้วยซ้ำ
ผมคิดว่าการที่เราจะเตรียมพร้อมสู่ประชาคมอาเซียน หรือเป็นโรงเรียนมาตรฐานสากล เราคงต้องฝึกกระบวนการเรียนรู้ของนักเรียนมากกว่าการสอนให้ความรู้แก่นักเรียนโดยครูผู้สอนเท่านั้น นั่นคือน่าจะเน้นที่กระบวนการเรียนรู้ของนักเรียนมากกว่าการสอนของครูนั่นเอง
ขอนำเสนอกระบวนการเรียนรู้ของนักเรียนที่ครูอาจนำไปใช้จัดการเรียนการสอนได้ โดยมีหลักการพื้นฐานว่าทุกกระบวนการเรียนรู้ทั้ง 5 ขั้นตอนนี้ นักเรียนจะต้องเป็นผู้กระทำทั้งหมด โดยครูเป็นเพียงผู้จัดกิจกรรม กระตุ้น ให้คำปรึกษาแนะนำ และเสริมแรงให้เขาได้ปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง เท่านั้น กล่าวคือ
1. การเข้าถึงความรู้
2. การแลกเปลี่ยนเรียนรู้
3. การลงมือปฏิบัติ
4. การประเมินผลการเรียนรู้
5. การสื่อสารเผยแพร่ความรู้
กล่าวโดยสรุป การเข้าถึงความรู้ควรจะเปลี่ยนจากครูเป็นผู้บอกความรู้ มาเป็นนักเรียนแต่ละคนต่างค้นคว้าหาความรู้จากแหล่งต่างๆให้ได้มากที่สุด ซึ่งก็ยังเป็นเพียงข้อมูล(Data)หรืออาจถึงขั้นสารสนเทศ(Information)ก็ได้ แต่ข้อมูลเหล่านั้นจะต้องได้รับการวิเคราะห์ สังเคราะห์ด้วยการเปิดเวทีให้เขาได้นำความรู้ที่ไปคนคว้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน มีการสะท้อนความคิดหรือสะท้อนข้อมูล (reflecting) มีการปฏิสัมพันธ์ (interactive) กับเพื่อนนักเรียนด้วยกัน ก็จะนำไปสู่การปรับเปลี่ยนความคิดใหม่ (new thinking) แล้วสร้างความรู้ใหม่ (new constructing) จากนั้นแต่ละคน(กลุ่ม)ก็จะเชื่อมโยงความรู้สู่การปฏิบัติ โดยอาจจัดทำเป็นโครงงานหรือกิจกรรมดำเนินการต่อไป แล้วการประเมินผลว่าเขาก้าวหน้าหรือประสบผลสำเร็จแค่ไหนก็ประเมินโดยนักเรียนเอง (ไม่ใช่ให้ครูประเมินเหมือนที่ผ่านมา) แล้วขั้นตอนสุดท้ายเขาก็จะหาวิธีการสื่อสารเผยแพร่ความรู้ที่เขาค้นพบด้วยความภาคภูมิใจ และคิดค้นต่อยอดพัฒนางานต่อไป
สิ่งที่ลำค่าที่จะเกิดขึ้นในขั้นตอนสุดท้ายนี้ก็คือ นักเรียนจะเกิดจินตนาการ และจินตนาการนี่แหละถือเป็นสุดยอดของการเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ อย่างแท้จริง ที่สามารถนำไปสู่การสร้างนวัตกรรมความเจริญก้าวหน้าให้เกิดขึ้นได้อย่างมากมาย
ไม่มีความเห็น