หลังจากผมได้หาเกณฑ์แบ่งแยกพระผงสุพรรณแท้ ออกจากพระโรงงาน
ผมได้พบประเด็นสำคัญว่า
ผิวพระผงสุพรรณ จะต้องเหมือนกับเนื้อพระผงสุพรรณ
ที่ต้องมีเม็ดมวลสารต่างๆ และก้อนน้ำว่านปรากฏอยู่ที่ผิว
ไม่ใช่ฝังอยู่ในเนื้อเพียงอย่างเดียว (ที่จะเป็นลักษณะของพระเก๊)
และมวลสารเหล่านั้น ต้องมีความมนอย่างกลมกลืนกับผิวพระที่เป็นเนื้อดิน
ที่ค่อนข้างแตกต่างจากผิวพระเนื้อดินเผา
กล่าวคือ
ถ้าเนื้อดินเผาที่มีเม็ดมวลสารอยู่ ไม่ว่าจะเป็นพระซุ้มกอ นางพญา รอบๆ เม็ดทรายต้องกร่อน เป็น "ร่องทราย"
เพราะเนื้อดินเผาเหล่านั้น "ผุกร่อนไป" จึงมีช่องว่างระหว่างดินกับเม็ดมวลสาร และกับเม็ดทราย
แต่....
จะไม่พบลักษณะเหล่านี้ ในพระผงสุพรรณ
ทำให้ผมมาคิดว่า ทำไม ทำไม และ ทำไม จึงเป็นเช่นนั้น
จึงหันมาคิดว่า
ดินเผา ทำไมจึงกร่อน กร่อนด้วยเหตุใด
ดินดิบ ทำไมจึงไม่มีการกร่อน อยู่ได้ด้วยเหตุใด
ที่ทำให้ผมหันกลับไปเปิดตำรา
ศึกษาการผุกร่อนของหินแร่ โดยเฉพาะ แร่ดินเหนียว
ที่พบว่า
แร่ดินเหนียวเป็นแร่ที่ค่อนข้างทนทาน เสถียรในสภาพแวดล้อมทั่วไป และจะสลายได้ ก็ด้วยการทำลายโครงสร้างของแร่ดินเหนียวเสียก่อน เท่านั้น
ผมเลยมาถึงบางอ้อ ในเชิงบทกลับ ว่า
ถ้าโครงสร้างยังคงเดิม แร่ดินเหนียวย่อมคงทนชั่วกาลนาน
แล้วอะไรล่ะ ที่ทำให้แร่ดินเหนียวมีโครงสร้างคงเดิม ก็คือ
และ
เมื่อไม่โดนน้ำ (มีน้ำว่าน ที่เป็นน้ำมันห่อหุ้ม) และไม่โดนความร้อน ดินเหนียวก็ย่อมไม่ผุพัง ไปอีกนานนนนนนนนนนนน
แล้วจะมีร่องทรายได้อย่างไร
คำตอบก็น่าจะอยู่ประมาณนี้
คือ สรุปว่า
แร่ดินเหนียวที่ไม่มีน้ำอยู่ด้วย
ที่อาจจะทนกว่า
หรือ
หรือ
ดังนั้น
พระผงสุพรรณ จึงเป็นพระที่มีเนื้ออ่อน แค่คงทนจากการผุกร่อนโดยธรรมชาติ มากที่สุด พอๆกับพระสมเด็จเนื้อปูนดิบ ที่ใช้ระบบการงอกของผิวหินปูน
นวัตกรรมเหล่านี้เป็นสิ่งที่น่าทึ่งสำหรับผมมาก
แต่ผมไม่แน่ใจนะครับว่า ผลงานต่างๆที่นับว่าเป็นภูมิปัญญาอันล้ำเลิศนี้ เป้นความตั้งใจ หรือความบังเอิญ เพราะสิ่งเหล่านี้จะทราบผลได้ชัด ก็ต้องว่ากันเป็น ร้อยๆปีขึ้นไปครับ
ถ้าไม่ใช่ผู้วิเศษทางความคิดล่วงหน้าแล้ว ก็อาจจะเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้ครับ
แต่ก็น่าจะเข้าใจ เทิดทูน และนำมาเป็นตัวอย่างที่ดีต่อไปครับ
ผมได้ส่งอีเมล์สอบถามท่านดร.เรื่องพระผงสุพรรณ ก่อนที่จะเห็นบทความนี้ ช่างเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆครับ