ได้อ่านบันทึกของคุณศิริ เรื่อง
เหตุผลที่ทำ "วิจัย" แล้วรู้สึกชื่นชมในความมุ่งมั่น มีอุดมการณ์ในการที่จะเรียนรู้อยู่ตลอดเวลาของคุณศิริจริงๆค่ะ ทำให้พี่เม่ยต้องทบทวนตัวเองทันทีเชียวค่ะว่า
ยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาเนี่ย ได้ทำอะไรลงไปบ้าง?
ในช่วงเวลานั้น จำได้ว่ามีความสนุกสนานกับการคิดทำโน่น ทำนี่ ทำแล้วนำมาใช้ประโยชน์จริงไม่มีขึ้นหิ้งแม้แต่เรื่องเดียว.....
ก็เหมือนที่คุณศิริพูดไว้ค่ะ เหตุผลที่เราทำก็เพราะเราอยากทำ เราอยากรู้ เรารักที่จะทำ ไม่ได้มุ่งหวังผลตอบแทนใดๆ เรามีความสุขเมื่อเราเห็นผลสำเร็จของงาน ยิ่งเห็นว่าได้นำมาใช้ประโยชน์ได้จริงอย่างเป็นรูปธรรมด้วยแล้ว....โห...ปลื้มใจค่ะ
-
ในช่วงปี พ.ศ. 30-35 ตอนนั้นยังอยู่ในวัยเลขสองนำหน้าอยู่เลยค่ะมีงานวิจัยเล็กๆของตัวเองอย่างน้อยปีละ 1-2 เรื่อง ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องการทดสอบเปรียบเทียบวิธีโน้นกับวิธีนี้ ประเมินน้ำยาโน้นกับน้ำยานี้
-
พอช่วงปี พ.ศ. 36-44 อ้าว เหลือเพียงปีละ 0-1 เรื่องเท่านั้นเอง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการนำวิธีใหม่ๆเข้ามาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพวิธีทดสอบ นี่ไงคนวัยขึ้นต้นด้วยเลขสามก็เป็นอย่างนี้แหละ
-
หลังจากปี พ.ศ. 45 เป็นต้นมา แหะๆ มีเพียงสองเรื่องเท่านั้นค่ะแต่ก็น่าภูมิใจที่ทั้งสองเรื่องเป็นการคิดค้นน้ำยาขึ้นใหม่เพื่อเลี่ยงการสัมผัสกับสารเคมีอันตราย ถึงแม้งานวิจัยน้อยลงแต่ก็กลับไปมีส่วนร่วมในการกระตุ้น ส่งเสริม สนับสนุน ทั้งผลักทั้งดันให้น้องๆในหน่วยงานมีงานวิจัยทำนองเดียวกันเพิ่มขึ้น อ๋อ ก็อายุมีเลขสี่นำหน้าแล้วนี่นา
พี่เม่ยมาวิเคราะห์ตัวเองว่ามีเหตุผลอะไรหรือ จึงได้ทำวิจัยน้อยลงไป?....
- เหตุผลแรกก็คือ เพราะภาระหน้าที่รับผิดชอบของเราเบี่ยงเบนไป ไม่ได้อยู่กับการทำงานบริการเพียงอย่างเดียว ทำให้สมาธิและความทุ่มเทที่จะคิดพัฒนางานประจำลดลง
- เหตุผลที่สองก็คือ ช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมาการนำเสนอผลงานวิจัยประเภท R2R เนี่ย แทบจะหาเวทีลงไม่ได้เลย จะเสนอในเวทีการวิจัย ก็ถูกมองว่าเล็กไป ไม่ใช่ความรู้ใหม่ๆ sample size เล็กไป ได้รับคำแนะนำให้ไปเสนอในเวทีโครงการพัฒนางานอ้าว พอไปนำเสนอก็กลายเป็นเรื่องที่ไม่ตรงกับเป้าหมายหลักขององค์กรโดยตรงที่มุ่งเน้นความพึงพอใจของผู้ป่วยเสียอีก (เพราะงานทางห้องปฏิบัติการส่วนใหญ่เป็นงานที่เน้นความถูกต้อง แม่นยำ ประสิทธิภาพในการวินิจฉัย...) ได้รับคำแนะนำให้ไปเสนอเป็นงานวิจัย ก็เลยเหมือนเครื่องบินที่บินอยู่กลางอากาศ หาลานกว้างๆที่จะร่อนลงได้ยากเหลือเกิน ทำให้เกิดอาการ งง งง ไปเหมือนกัน
- อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ พอเรามีประสบการณ์ด้านนี้บ้างก็ได้รับการวางตัวให้เป็นที่ปรึกษา ให้คำแนะนำ ไปสนับสนุนให้น้องๆสร้างผลงานบ้าง การลงมือสร้างงานด้วยตนเองจึงน้อยลง
แล้วได้ประโยชน์อะไรบ้างจากงานที่ได้ทำมาทั้งหมด?
- มีอยู่ 1 เรื่องที่นำมาเขียนตีพิมพ์ในวารสาร และเสนอเป็นผลงานเพื่อขอตำแหน่งชำนาญการได้.....
- ส่วนผลงานอื่นก็นำเสนอเป็นโปสเตอร์บ้าง oral presentation บ้าง ในงานประชุมวิชาการต่างๆตามความเหมาะสม
- มีอีกสองเรื่องที่กำลังเขียนเพื่อส่งตีพิมพ์....
- แต่ที่แน่ๆผลงานประมาณ 80% ยังคงใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อหน่วยงานได้
เหตุผลที่พี่เม่ยได้นำมาบอกเล่าในที่นี้ ก็หวังจะให้เป็นข้อมูลในการที่จะช่วยกันพัฒนาแนวทางส่งเสริมการทำวิจัยประเภท R2R ให้เพิ่มมากขึ้นพร้อมๆกับให้มีคุณค่ามากขึ้น....
-
ด้วยการส่งเสริม สนับสนุน กระตุ้น ให้ความรู้ ให้บุคลากรเข้ามาสร้างงานคุณภาพแบบนี้มากๆ
- ไปพร้อมๆกับหาวิธีการที่จะเพิ่มคุณค่าของผลงาน (เช่นถ้าเป็นผลงานวิจัยประเภท R2R จะมีน้ำหนักมากในการใช้เป็นผลงานของบุคลากรสาย ข ค เป็นต้น)
- และสร้างเวทีที่มีการยอมรับผลงานประเภทนี้ให้เห็นเป็นรูปธรรมด้วยค่ะ