กลัวหมอ (GPA 2.00)


ถ้าเกรด 2.00 แสดงว่า หมอรักษาคนตายครึ่งหนึ่งรอดครึ่งหนึ่ง ใช่ไหม (เพราะความรู้มีครึ่งเดียว)

เวลาเราไปรักษาโรคกับหมอ เรามักกลัวหมอ ไม่กล้าเถียงหมอหรอก  อย่าว่าแต่สอนหมอเลย (ซึ่งคนถางทางสอนประจำ)  

 

อย่าว่าแ่ต่กล้าสงสัยเลยว่า หมอจบมาได้เกรดเฉลี่ยเท่าไร

 

ถ้าเกรด 2.00 แสดงว่า  หมอรักษาคนตายครึ่งหนึ่งรอดครึ่งหนึ่ง   ใช่ไหม (เพราะความรู้มีครึ่งเดียว)

ถ้าเกรด 3-4   แสดงว่า  อะไร ก็ลองเทียบบัญญัติไตรยางค์ดูสิ  

 

 

พวกทหารตำรวจเขาบอกว่า พวกติดเหรียญทองรูปปืนที่หน้าอกแสดงว่ายิงปืนแม่นที่สุด ส่วนพวกเหรียญเงินแม่นรองลงมา เขาอธิบายว่า พวกเหรียญทองนั้น เล็งหน้าผากก็เข้าหน้าผาก ส่วนพวกเหรียญเงินนั้นเล็งหน้าผากแต่เข้าตา ..ก็ตายเหมือนกัน  (คนถางทาง เคยยิงปืนยาวคาร์ไบน์ระยะ ๓๐๐ หลาแม่นสุดในรุ่นมาแล้ว ได้ ๓๘ เต็ม ๔๐ คะแนนแน่ะ แต่ทหารเรือเขาไม่นิยมให้มีเหรียญติดหน้าอกก็เลยชวดมีอะไรไว้อวดกะเขาบ้าง)

 

ส่วนหมอเราถ้าได้ ๔ แสดงว่าให้ยาถูกเป๊ะเข้าหน้าผากพอดี สมองก็หายจากโรค    แต่ถ้า ๒ ให้ยาครึ่งๆกลางๆเข้าตาพอดี ก็อาจทำให้ตาบอดได้

 

สำหรับการผ่าตัด หมอ ๔ ผ่าสมองเข้าลอนพอดี โรคหาย ส่วนหมอ ๒ ผ่าพลาดไปนิด กลายเป็นเอ๋อไปตลอดชีวิต

 

 

แล้วทหารหมอมันต้องฝึกทั้งยิงปืนและผ่าตัด มันจะเอาไงดีหว่า อิอิ  ยิงปืนแม่น แต่ผ่าตัดไม่แม่น

 

...คนถางทาง (๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๕)

 

 

 

 

คำสำคัญ (Tags): #หมอเรียนเก่ง
หมายเลขบันทึก: 491854เขียนเมื่อ 20 มิถุนายน 2012 21:58 น. ()แก้ไขเมื่อ 4 กรกฎาคม 2012 14:13 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (13)

โจทย์ยากจังเลยค่ะท่าน ต้องคำนวนด้วยประสบการณ์และความชำนาญของหมอ ... เกรดน่ะได้แค่ตอนเรียน ..แต่หลังจากนั้นซิ ต้องผ่านสนาม และคนไข้ให้ได้ประลองฝีมือ เก็บความชำนาญ สะสมแต้ม ..น่าจะอย่างนี้ไหมค่ะ

ท่าน BL ครับ ...บรื๋อ...เอาคนไข้เป็นหนูทดลองเลยหรือครับ ผ่าซ้ายที ..ตาย ขวาที เอ้าตาย อีก กลางทีเอ้าตายอีก

ผมพูดมานานว่า การเป็นหมอนั้น แค่ 99.99% ยังไม่น่าพอ ต้อง 100% ตอนผมเป็นผู้บริหารระดับกำหนดนโยบาย ม. กำลังจะสร้าง คณะหมอ ผมเสนอว่าเราจะสร้างคณะหมอแบบใหม่ ที่หมอทุกคนที่ีจบต้องได้ A ไม่งั้นให้ลดระดับลงมาเป็นผู้ช่วยหมอ มีระดับการรักษาโรคต่างกัน เงินเดือนก็ต่างด้วย

ปรากฎว่า ผมแพ้ (ตามฟอร์ม)

มีหมอที่จบได้ เกรด 4 ในภาคทฤษฎี หรือตอนที่เรียน แต่พอมาทำงาน กับได้ เกรด 2 ถมไปค่ะอาจารย์

แต่อ.ชาญของชลัญนี่จบหมอมาด้วย 2 กว่า ๆ แต่ทำงาน ชลัญว่า ท่านน่าจะได้ เกรด 5 ด้วยซ้ำ  คนอะไรก็ไม่รู้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่ชลัญทึ่งอีกอย่าง เคยถามท่านว่าขอบันทึกเรื่องของ อ.ชาญสักบันทึกได้มั๊ย ท่านบอกอย่าเลย เดี๋ยวจะเป็นว่า อยู่ด้วยกันเชียร์กันเอง แต่ใจชลัญน่ะอยากให้โลกทั้งโลกรับรู้ว่ายังมีหมอแบบนี้อยู่ในโลกนี้ด้วยนะ

ท่าน ชธ.. ครับ ค่าเฉลี่ย เป็นค่าทางสถิติืนะครับ มันมีคนตก curve เหมือนกัน แต่น้อยมาก

คนจบ 2 ที่เก่งกว่าคนจบ 4 พอมี แต่น้อยมาก ...ผมเคยตั้งทฤษฎีใน gtk มาแล้วว่า ให้่จับตามองคน 2.87 ที่เกเร ไม่ค่อยตั้งใจเรียน ...เพราะพวกนี้แหละ จะบานสาย เก่งกว่าพวก ๔ อีก

แต่ถ้าว่ากันตามสถิติแล้ว แล้วเราก็ไม่ได้รู้จักหมอเป็นการส่วนตัว play safe ขอรักษาด้วยหมอ ๔ ดีกว่าหมอ ๒ เพราะหมอ ๒ ก็ไม่ได้มีอะไรใหม่หรอก ก็ลอกตำราฝรั่งมาัรักษาเราเหมือนกัน เพียงแต่หมอ ๔ น่าจะลอกได้แม่นกว่า อิอิ

สติปัญญา หมอ ๒ กับหมอ ๔ นั้นผมว่าไม่ต่างกันมากนักหรอกในตอนสอบเข้า แต่พอจบนี่สิ หมอ ๔ กะหมอ ๒ ต่างกันมาก อย่างน้อยที่สุดก็คือเรื่อง "ความรับผิดชอบในหน้าที่"

คนเรียนเก่งอาจไม่ใช่คนอัจฉริยะเสมอไป แต่อย่างน้อย มันแสดงว่าเขา "รับผิดชอบในหน้าที่" (การเรียน)

...คนถางทาง (เหรียญทองเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง และหัวหน้าทีมฟุตบอล และหัวหน้าห้องเรียน และนักเรียนผู้บังคับบัญชา และเกเรด้วย ..สูบบุหรี่่ กินเหล้า เข้าซ่อง เป็นประจำ)

ขอบคุณค่ะ ท่าน ปัจจุบันนี้ กว่าจะได้นักศึกษาแพทย์สักคน ก็ยากจังนะคะ กว่าจะจบก็นานจังค่ะ กว่าจะฝึกวิทยายุทธให้เชี่ยวชาญก็ใช้เวลา .. หากต้องหาแบบ 100% ให้ได้จริงๆ คนไข้ก็คงรอแย่ รอไม่ไหวก็จากไปเหมือนกันค่ะ น่าจะเริ่มตั้งแต่ต้น ในการส่งเสริมและเพิ่มศักยภาพในการเรียนของเยาวชน ให้มีโอกาสเพิ่มโครงสร้างและสัดส่วนของอาชีพนี้ให้มากขึ้น

เรื่องจริงที่ดิฉันเข้า/ออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น ก็เพราะเรามีลูกน้องในบริษัทของตัวเองทั้งคนไทยและพม่า ทุกครั้งดิฉันมักดำเนินการเอง จึงได้เห็นสภาพที่น่าสงสารของแพทย์ และพยาบาล ที่ทำงานตัวเป็นเกลียว หัวเป็นน๊อต ชนิด 100 + ต่อ 1 แพทย์/ ใช้เวลาตรวจคนละ 1-2 นาที บางครั้งไม่ทราบท่านอ่านประวัติคนไข้จบได้อย่างไร ในเวลาขนาดนั้น แต่ก็พยายามตรวจให้ทันแต่ละวัน ..

ตอนนี้ช่างสีคนเก่งของดิฉัน โดน 18 ล้อชน ตั้งแต่เอวลงมาหักหมด นอนรักษาเป็นเดือนแล้วค่ะ และคงนอนอีกอย่างน้อย 2 เดือน ทุกวันก็จะโทรมารายงานว่า "พี่วันนี้หมอเดินผ่านไม่ตรวจผมเลย/ พี่วันนี้หมอตรวจผมในระยะ 3 ฟุต อ่านชาร์ตแล้วก็ผ่านไป/ .. ดิฉันสอบถามพยาบาลก็ได้ความว่า " อาการคงที่ เพียงแต่รอระยะเวลากระดูกเชื่อมติดกัน หมอต้องดูเคสต์ที่หนักก่อน .." และทุกครั้งที่ดิฉันเข้าไปเยี่ยมลูกน้องที่โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต .... ทุกเตียงและเตียงเสริม แน่นเอี๊ยด หน้าเก่า (บางราย) ก็จากไป.. หน้าใหม่ก็เข้ามาแทน ... แต่คุณหมอก็ยังมีเท่าเดิม ...

ขอให้ลูกหลานไทยฉลาดๆ มีโอกาสที่จะสามารถเรียนวิชาชีพนี้เยอะๆ นะคะ สัดส่วนโครงสร้างของอาชีพจะได้สมดุลกับจำนวนประชากรค่ะ

โม้บ้าง ชลัญก็เหรียญทองอันดับสอง (ได้แบบฟลุ๊กถ้าตั้งใจคงได้หนึ่ง) และ ป่วง บ๊อง บ้าบอ แถมเป็น pks อีก อิ อิ อิ

อ้อ! ขอแถมอีกนิดค่ะอาจารย์ การรักษานั้นเป็นทั้งศาสตร์ และศิลป์ พวก 4 เก่งศาสตร์ (คือลอกฝรั่งเก่งมาทั้งดุ้น แต่ปรับใช้ไม่เป็น ) แต่พวก 2 นี่ อาจศาสตร์ก็พอใช้ได้คนไข้ไม่ตายในมือแน่ๆ ถ้าไม่ถึงคราวจริงๆ แต่ศิลป์ที่ใช้ร่วมอาจแพรวพราว จนไม่ต้องใช้ยาตามฝรั่งด้วยซ้ำ

วันนี้นั่งถกปัญหากับ แพทย์เรื่องการฉีดวัคซีน อยู่ 2 ชนิด คือ ไวรัสตับอักเสบ บี และวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ซึ่งไม่มีใครให้ความกระจ่างกับชลัญ เพราะฉะนั้น ชลัญไม่ฉีด

1. วัคซีนป้องกันตับอักเสบชนิด บี  ฉีดทำไมในคนมี ลูกสามีเป็นตัวตน  ในเมื่อการติดต่อเหมือน aids ทุกประการ  ตำรายืนยันอย่างนั้น  แล้วอายุอานามของคนที่จะถูกฉีด  + หน้าตา คงไม่มีปัญญาหาใหม่ได้แน่ๆ แล้วฉีดทำไมวัคซีนเปลืองโดยใช่เหตุ  เจ็บอีกต่างหาก (ข้อหลังนี่สำคัญสุด พบ.กลัวเข็ม น่ะ )

2 วัคซีนไข้หวัดใหญ่   ฉีดทำไมในเมื่อ ป้องกันไม่ได้ 100% แถมครบปีต้องฉีดใหม่  วัคซีนเพิ่งทำออกมาหรือเปล่า การศึกษาผลข้างเคียงก็ยังไม่ชัด แถมมีหลักฐานว่า อาจเกิด โรคกิแลงแบเร  http://health.kapook.com/view9674.html แล้วถ้าชลัญฉีด แล้วเกิดอาการนี้  จะรู้ได้อย่างไรว่ามาจากวัคซีนหรือเป็นเพราะโรคของชลัญเอง ชลัญอยู่แผนกผู้ป่วยนอก เป็นคนที่ต้องซักประวัติไข้หวัด มากกว่าคนอื่น รวมถึงโรคที่เน่าหนอนคนอื่นไม่กล้าเอามาหาชลัญหมด  ใน 3 ปี ชลัญยังไม่เป็นหวัดสักครั้ง เป็นเหตุผลที่ชลัญไม่ฉีด (สุดท้าย ก็คือกลัวเข็ม)ทำไมไม่ส่งเสริม safe care ถ้า safe care ดีไม่มีตายด้วยไข้หวัดใหญ่ แน่นอน

สุดท้ายก็ไม่มีหมอไหนให้คำตอบชลัญได้  ก็เลยฝากข้อคิดผ่าน blog อาจารย์นี่แหล่ะเผื่อมีผู้รู้มาตอบให้เพิ่มเติม

I learned more from the comments in here than from many government websites ;-) in years...

We have : ...จึงได้เห็นสภาพที่น่าสงสารของแพทย์ และพยาบาล ที่ทำงานตัวเป็นเกลียว หัวเป็นน๊อต ชนิด 100 + ต่อ 1 แพทย์/ ใช้เวลาตรวจคนละ 1-2 นาที บางครั้งไม่ทราบท่านอ่านประวัติคนไข้จบได้อย่างไร ในเวลาขนาดนั้น แต่ก็พยายามตรวจให้ทันแต่ละวัน ..

ตอนนี้ช่างสีคนเก่งของดิฉัน โดน 18 ล้อชน ตั้งแต่เอวลงมาหักหมด นอนรักษาเป็นเดือนแล้วค่ะ และคงนอนอีกอย่างน้อย 2 เดือน ทุกวันก็จะโทรมารายงานว่า "พี่วันนี้หมอเดินผ่านไม่ตรวจผมเลย/ พี่วันนี้หมอตรวจผมในระยะ 3 ฟุต อ่านชาร์ตแล้วก็ผ่านไป/ .. ดิฉันสอบถามพยาบาลก็ได้ความว่า " อาการคงที่ เพียงแต่รอระยะเวลากระดูกเชื่อมติดกัน หมอต้องดูเคสต์ที่หนักก่อน .." และทุกครั้งที่ดิฉันเข้าไปเยี่ยมลูกน้องที่โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต .... ทุกเตียงและเตียงเสริม แน่นเอี๊ยด หน้าเก่า (บางราย) ก็จากไป.. หน้าใหม่ก็เข้ามาแทน ... แต่คุณหมอก็ยังมีเท่าเดิม ...

and ...การฉีดวัคซีน อยู่ 2 ชนิด คือ ไวรัสตับอักเสบ บี และวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ซึ่งไม่มีใครให้ความกระจ่าง... เพราะฉะนั้น ...ไม่ฉีด

We have problems in THE health care SYSTEM and some usual component differentials. Let us fix the WHOLE system but not breaking each other legs. ;-)

๕๕ ชลัญครับ เรื่องนี้คงต้องตัดสินด้วย MD-PhD ที่ได้ GPA 4.00

ผมยังขอยืนยันว่า ถ้าผมเปิดรร.หมอ หมอของผมต้องได้เกรด ผ่านดีมาก กับ ผ่าน มีสองเกรดเท่านั้น และประกาศณียบัตรจะเป็นสีแดงกับสีขาว และมีกฎบังคับว่าต้องติดไว้ในที่แจ้งให้คนป่วยเห็นได้ด้วย อนึ่ง หมอผ่าน สามารถไปอัพเกรดความรู้ ให้เป็นผ่านดีมากได้ในการสอบ

ไม่ขอคุยเรื่องเกรดนะคะอาจารย์..

แค่จะบอกว่าหมอ+พยาบาล มีสิทธิพิเศษมากกว่าวิชาชีพอื่นๆ.. สามารถซักถาม-ล้วงความลับ-ข้อข้องใจต่างๆจากคนไข้ได้ จนหมดเปลือก.. แล้วคนไข้ก้ต้องตอบซะด้วย ฮ่าฮ่า

 

สงสัย ผมจะเกิดมาเป็นฝ่ายค้าน.....

     ค้านแรก....ไอ้การเรียนของหมอ นี่มันเกี่ยวกับคุณภาพการรักษาของหมอเหรอ....ผมว่าเป็นแค่เพียงส่วนหนึ่งนะ ไม่ใช่ทั้งหมด ซึ่งนั่นไม่ได้หมายความว่า หมอเกรด 2 จะรักษาคนไข้หายน้อยกว่าหมอเกรด 4  โอเค ความรู้ในการสอบน้อยกว่า น่าจะสิ่งที่ยอมรับได้ เพราะไม่มีระบบสถาบันการศึกษาที่ไหนหรอก ที่สอนคนออกมาแล้วได้ 4 ทั้งสถาบัน ก็วัดผลการศึกษาจากความรู้ของแต่ละคน เพียงแต่เกรดที่ได้มา เป็นส่วนหนึ่งของการบอกว่า คุณมีความรู้ขั้นต่ำผ่านเกณฑ์ในการที่เขาจะปล่อยออกไปรักษาคนไข้ได้หรือไม่ แล้วก่อนจะออกไปรักษาคนไข้ เขาก็ต้องให้มีการสอบใบประกอบโรคศิลป์ ซึ่งมีการวัดความรู้ในภาพรวม ว่าคุณมีความรู้ขั้นต่ำเหล่านั้นไม่น้อยไปกว่าที่เขากำหนดไว้จริงหรือเปล่า ดังนั้นไม่ว่าหมอเกรด 2 หรือ หมอเกรด 4 ที่ผ่านการสอบใบประกอบโรคศิลป์ ก็ต้องถึอว่า มีความรู้มากเพียงพอที่จะรักษาคนไข้แล้วล่ะ

     ที่ไอ้ทีนี้ มันไม่ใช่เรื่องความรู้อย่างเดียวนะสิ มันมีอีกหลายๆเรื่อง ที่ควรต้องส่งเสริมให้คนที่มีอาชีพเป็นหมอ ควรต้องมี เพื่อให้เป็นหมอที่เป็นหมอจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การฟังคนไข้ ซักถามอาการอย่างละเอียด เพื่อประเมินว่าคนไข้มีอาการอะไร เข้าได้กับโรคอะไรบ้าง และจะแยกโรคเหล่านั้นออกจากกันด้วยวิธีการใด ส่งการทดสอบที่จำเป็นและเหมาะสม เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงว่าคนไข้ป่วยเป็นอะไร และรักษาให้ถูกต้องเหมาะสม   เริ่มจากการฟังคนไข้ การซักถามอาการอย่างละเอียด นี่ก็กวาดหมอเกียรตินิยมเหรียญทอง ไปเป็นพวกได้เกรดน้อยกว่า 2 ซะกว่าครึ่งแล้วล่ะครับ แถมติดข้ออ้างให้ด้วยว่า คนไข้เยอะ ถามมากไม่ได้ ไม่มีเวลา นี่ยังไม่ต้องไปพูดถึง เรื่องการอธิบายให้คนไข้เข้าใจว่า เขาป่วยเป็นอะไร ควรต้องปฏิบัติตนอย่างไร ฯลฯ เพราะเมื่อมีโอกาสได้เจอหมอ หลังจากเราบอกว่าเรามีอาการอะไร ก็มักจะจบลงด้วยคำพูดที่ว่า "เอายานี่ไปกิน กลับบ้านได้" ถ้าให้คนไข้ประเมินคุณภาพการให้บริการของหมอ หรือการสื่อสารให้คนไข้เข้าใจสภาพการรักษา พวกนี้น่าจะได้คะแนนน้อยกว่า เกรด 1 ครับ นี่ยังไม่รวมถึง เวลาอ้าปากถามหมอ แล้วหมอทำท่าหงุดหงิดใส่อีกนะ รู้นะว่าคนไข้มาก เราก็ถามเท่าที่จำเป็น ไม่ได้ครอบครองเวลาทั้งหมดของหมอซะที่ไหนล่ะ ไม่ต้องมาใส่อารมณ์กันก็ได้ 

     ค้านสอง....ค้านลูกศิษย์อาจารย์ครับ

     อุบัติเหตุ เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เราไม่รู้หรอกครับว่า เมื่อไหร่เดินออกไปข้างนอก จะถูกสิบล้อสอยให้ไปนอนโรงพยาบาลบ้างหรือเปล่า ดังนั้น การป้องกันเป็นเรื่องที่ทำได้ และสมควรทำครับ อย่างเช่น วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ บี ในผู้ใหญ่ที่แต่งงานแล้ว เราไม่ห่วงเรื่องที่ว่าเขาจะไปมีกิ๊กแล้วไปติดไวรัสตับอักเสบ บี มา แต่การติดต่อของไวรัสชนิดนี้ อีกทางคือการได้รับเลือด การเกิดอุบัติเหตุแล้วจำเป็นต้องได้รับเลือด เป็นเรื่องสุดวิสัยครับ ดังนั้นหากคนไข้มีภูมิต้านทานไวรัสชนิดนี้ไว้ก่อนแล้ว ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีครับ อย่าบอกนะครับว่า คุณพยาบาลเชื่อว่าในเลือดทุกถุงไม่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบ เพราะคลังเลือดของโรงพยาบาล ได้ทำการตรวจไวรัสชนิดนี้แล้ว....ส่วนวัคซีนไข้หวัดใหญ่ มีคนเขาบอกว่า หากฉีดวัคซีนนี้แล้ว แล้วดันไปติดโรคไข้หวัดใหญ่ขึ้นมาจริงๆ คนกลุ่มนี้จะมีอาการไม่รุนแรงครับ ไม่ต้องนอนโรงพยาบาลนาน และที่สำคัญไม่ต้องส่งเข้าเมรุครับ ซึ่งก็น่าจะเป็นเหตุผลที่เพียงพอในการที่จะฉีดวัคซีนชนิดนี้ จะติดก็ตรงที่ว่า การศึกษาผลของการใช้วัคซีนยังไม่ชัดเจนนี่แหละครับ....ผมค้านความเห็นนี้ครับ แต่ถ้าให้ผมฉีด ผมตอบได้เลยว่า ......ไม่ฉีดครับ.....แหะ แหะ

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท