......ขอก่อนแล้วจ่ายทีหลัง กับจ่ายก่อนแล้วได้ทีหลัง มันต่างกันไหมนะ......
จากการเดินทางไปเยี่ยมถิ่นเกิดที่เชียงรายครั้งนั้น
พอจะมีเวลาบ้างก็เลยเสาะแสวงหาเสบียงบุญเอาไว้
ตกลงพากันไปที่วัดงำเมือง
ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาใกล้ๆกับศาลากลางหลังเก่า
เป็นวัดเก่าแก่และเป็นที่ตั้งของกู่ ( สถูป ) พระยามังราย
แต่เดิมเป็นที่บรรจุพระอัฐิของพระยามังรายมหาราช
ต่อมาจึงได้บูรณะเพิ่มขึ้น มีวัด
มีวิหารรวมทั้งเสนาสนะในวัด
ช่วงที่ไปก็ยังมีการก่อสร้างและบูรณะเพิ่มเติมกันอยู่
ว่ากันว่า....อนุสาวรีย์พระยามังรายที่ตั้งอยู่ด้านหน้าของกู่นั้น
มักจะมีผู้คนมากราบไหว้และบนบานศาลกล่าวเพื่อให้สมประสงค์ในสิ่งที่คิดและหวังอยู่เสมอ
และมักจะสำเร็จได้ด้วยดี
สังเกตจากสิ่งที่แก้บนทั้งหลายเต็มไปหมด
โดยการที่เราจะบนในใจไม่ได้
ต้องเขียนลงในกระดาษ
แจ้งชื่อนามสกุลพร้อมทั้งขอในสิ่งที่ต้องการ
พับแล้วนำไปสอดไว้ใต้พระบาทของรูปปั้น ไหนๆก็มาแล้วนี่
krugui ก็เขียนกับเขามั่งแล้วนำไปสอดไว้เหมือนคนอื่นๆ
ไม่ได้ขอเพื่อตัวเองหรอกขอเพื่อส่วนรวมแล้ว.....สบายใจ
หากวิเคราะห์ดูแล้วนับว่าเป็นจิตวิทยาแบบหนึ่ง
ที่ให้เขียนชื่อนามสกุลเอาไว้
แต่ละคนจะได้ไม่สุมสี่สุ่มห้าขอและบนแล้วไม่ทำตามนั้น
อย่างน้อยๆก็เกรงๆอยู่เพราะมันมีหลักฐานชัดเจน.....
เมื่อมีเวลาพอ
พวกเราจึงมุ่งหน้าไปยังอีกวัดหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปประมาณ
8 กิโลเมตร ชื่อวัดห้วยปลากั้ง ( พบโชคธรรมเจดีย์ )
วัดนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาเด่นเห็นแต่ไกลและอยู่ท่ามกลางท้องไร่ท้องนา
บรรยากาศโดยทั่วไปสงบ
วันที่ไปนั้นอากาศดีมากจึงมีผู้คนแวะเวียนกันมามากมาย(
มาทราบภายหลังว่าส่วนใหญ่มุ่งมาดูดวง )
วัดนี้มีลักษณะแปลกตาเป็นทรงเจดีย์เก้าชั้นสวยงาม
มีรูปมังกรอยู่บนหลังคาและบันไดทางขึ้น
ผสมผสานกันระหว่างไทยกับจีน
สังเกตจากมีรูปเจ้าแม่กวนอิมซึ่งแกะสลักจากไม้ทั้งหมด
ภายในวัดเงียบและเย็นมีเสียงสวดแบบจีนเบาๆ
ช่วยให้ผ่อนคลายและเกิดศรัทธา....
แต่เดิมมาบริเวณที่ตั้งวัดเป็นแค่สำนักสงฆ์
จนปีพ.ศ. 2548
ด้วยการแนะนำของเจ้าคณะตำบลริมกกตลอดจนชาวบ้านและคณะศรัทธาจึงนิมนต์
พระอาจารย์พบโชค ติสสวังโส
ซึ่งมีความรู้เรื่องโหราศาสตร์และการทำนายทายทักตลอดจนดูฮวงจุ้ย
ให้มาอยู่และช่วยพัฒนาวัดนี้ต่อไป
โดยพระอาจารย์บอกไว้ว่า.....จะทำให้พระ
พุทธศาสนาเกิดขึ้นที่นี่ ด้วยใจมุ่งมั่นรับใช้ต่อพระศาสนา
จึงยอมทนเหน็ดเหนื่อยกับการรับแขก ญาติโยมกระจายกว้างไปเรื่อยๆ
หลายจังหวัดจนเป็นที่รู้จัก “พระอาจารย์พบโชค” ใหม่ๆ
ก็นึกอายเป็นพระหมอดู หลายคนก็ดูถูกดูแคลน
ท้อใจหลายครั้งจะเลิกหลายหนแต่ก็ทนเพื่อให้สู่จุดหมายที่คิดไว้ อาตมา
รู้ การ ดูดวงเป็นเพียงเปลือกกระพี้ของศาสนาเท่านั้น ไม่ใช่แก่น แต่
ตราบใดที่ต้นไม้ยังต้องมีเปลือกกระพี้หุ้มแก่นจึงเติบโต
ศาสนาก็เช่นกัน อาตมาจึงยิ่งทำมากขึ้น........
ด้วยแรงศรัทธาจากญาติโยมและเงินขันครูดูดวง
ผู้อุปถัมภ์หลักผู้อุปถัมภ์รอง
ประกอบกับวินัยทางการเงินและความซื่อสัตย์ต่อศาสนา
ทำให้วัดแห่งนี้เป็นรูปเป็นร่างและมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปทั่ว
แต่กว่าจะเป็นอย่างปัจจุบันพระอาจารย์ก็ย้อนให้เห็นว่า......จำได้ว่า
วันแรกที่มาจำวัดนี้ นิมิตฝันเห็นบนดอยลูกนี้เป็นเจดีย์ขนาดใหญ่สูงมาก
แต่เห็นเป็นชั้นๆ คนเดินขึ้นได้มี 9 ชั้น สวยงามมาก
เก็บความคิดนีไว้ในใจ จนกระทั่งมีวิศวกรจากกรุงเทพฯมานั่งดูดวง
ดูเสร็จเขาถามว่าจะสร้างอะไร ก็บอกว่าจะสร้างเจดีย์เป็นรูปสามเหลี่ยม
แล้วเป็นชั้นๆ 9 ชั้น แล้วมีเจดีย์เล็กๆ 12 ราศี
ล้อมรอบบอกเท่านี้จริงๆ
อีก 7
วันต่อมา มีคนถือรูปเจดีย์เป็นภาพสีแต่งโดย
Computer อาตมาเห็นแล้วขนลุกทั้งตัว
คือภาพในนิมิตอย่างไงอย่างนั้นเลย
นอนฝันไปหลายเดือนอยากจะสร้างเจดีย์แบบนี้ให้คนกราบไหว้ ลูกศิษย์ชื่อ
พ.ต.ท. สีหนาถ นิลสุข (สารวัตรโป้ง) มักแซวบ่อย ๆ
ว่ากุ้มใจไม่มีเงินสร้างเจดีย์ แต่ก็จริงจนกระทั่ง คุณ เฉิน เซียน
เป่า นักธุรกิจชาวใต้หวัน ขึ้นมาเที่ยวบนวัดและดูดวง เกิดคุยกันถูกคอ
เขาถามจะสร้างอะไร เอารูปให้เขาดู เขาสนใจ
นิมนต์อาตมาไปโรงแรมดุสิตที่พักของเขา
แล้วก็บอกว่าเป็นบุพเพวาสนาที่ได้เจอกัน เคยทำบุญมาแต่ชาติปางก่อน
แล้วจะสนับสนุน แล้วเขาก็สนับสนุนเงินก้อนแรก 1 ล้านบาท
แล้วก็เริ่มตอกเสาเข็ม วันที่ 26 เมษายน 2550
โดยให้ชาวบ้านในชุมชนเป็นใหญ่ เป็นประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์
และมีท่านพลเอก ปิติ กัมพูพงค์ มาร่วมงาน ชาวบ้านและศิษย์มาหลายร้อยคน
ที่ลืมไม่ได้ คือ ผบ.ธนสิทธิ์ พานิชวงษ์
เสาหลักในการนำสายบุญเข้าวัดโดยตรงจากนั้นก็มีคณะศรัทธาญาติโยมเข้าร่วมทำ
บุญสร้างพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ จนเป็นภาพปัจจุบัน
และใช้เงินงบประมาณไปแล้วประมาณ 20 ล้านบาทเศษ
ยังขาดปัจจัยอยู่มากในการสร้างมหาเจดีย์ ที่แปลกก็คือ
อาตมาสังเกตว่าผู้มีบารมีหรือบุญเท่านั้นจึงมาร่วมสร้างเจดีย์นี้
คนรวยหลายคนเห็นแล้วเขาก็เฉย ๆ แต่หลายคนเห็นเจดีย์เกิดวิบัติ
ทำบุญทำแล้วทำเล่า แล้วก็จะทำทุกชั้น เจดีย์ดวงนี้ศักดิ์สิทธิ์มาก
หลายคนคงสัมผัสได้ ......
สองวัดในวันเดียวนั้น
ทำให้ได้รับความรู้ใหม่ๆและเกิดการตั้งข้อสังเกตจากวัดแรกที่ไปขอ(
บน )ก่อนแล้วจ่าย (แก้บน )ทีหลังกับจ่ายค่าขันตั้ง ( ยกครู )
ก่อนแล้วถึงจะได้ในสิ่งที่อยากรู้.....มันต่างกันไหมนะ
แต่ถึงอย่างไรก็เกิดความสุขใจในการได้ร่วมบำรุงพุทธศาสนา
ได้สะสมกรรมดีเอาไว้เป็นเสบียงในการเดินทาง
ถึงแม้จะเป็นระยะทางยาวนานสักเท่าไหร่
เสบียงนี้ก็ไม่มีวันเน่าเสียและไม่มีวันหมดเพราะมันเป็น.....เสบียงทิพย์.....
ขอบคุณข้อมูลประกอบจากที่มาประวัติ :
/www.wathyuaplakang.com/