ให้ตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ…(1/2)


พระพุทธเจ้าท่านให้พวกเราและท่านตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ เราบวชระยะสั้น เรามาถือศีล มาประพฤติปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัด เวลาไม่กี่วันไม่กี่เดือน ให้ทุกท่านทุกคนตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติให้เต็มที่ ตั้งใจรักษาศีลให้บริสุทธิ์ ให้ละเอียด ให้ประณีต ไม่ให้จิตใจด่างพร้อย

 

 

ตั้งใจทำวัตรสวดมนต์นั่งสมาธิ เดินจงกรมภาวนา ทำกิจวัตรต่าง ๆ อย่าให้ขาดตกบกพร่อง เวลาทำข้อวัตร กิจวัตร พยายามมาให้ทันเวลา หรือว่ามาก่อนเล็กน้อยก็ยังดี เวลาไปบิณฑบาตก็ให้สำรวม อย่าได้เหลียวซ้ายแลขวา เวลาทำกิจวัตรต่างๆ ก็ให้ตั้งใจทำ ให้จิตให้ใจมันอยู่กับเนื้อกับตัว ด้วยความเสียสละ
เราเป็นคนพูดมากเราก็อย่าพูดมาก ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ เราจะไม่พูดเลย เวลาพูดมันมีมากนะ แต่นี้แหละเป็นการปฏิบัติปฏิบัติธรรมของเรา เป็นการมาบวชมาถือศีลของเรา


พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เอาเรื่องทางบ้านเรื่องการเรื่องงานเรื่องต่าง ๆ เข้ามาพูดภายในวัด


นักบวช นักปฏิบัติท่านไม่ให้ดูคนอื่น เค้าจะดีเค้าจะชั่ว มันเป็นเรื่องของเขา ถ้าไปมองคนอื่น ไปให้โทษให้คุณคนอื่น มันเป็นการไม่ถูกต้อง ถ้าเป็นพระมันก็ต้องอาบัติเพราะไปเพ่งโทษเขา ถ้าเป็นโยมก็เป็นบาป


โทรศัพท์มือถือ โน๊ตบุ๊ค คอมพิวเตอร์ ไอแพด เข้าเล่นเฟซบุ๊ค ไฮไฟ ทวิตเตอร์ ให้หยุดไว้ก่อน ให้งดไว้ก่อน เราเป็นพระเป็นเณรมันใช้ไม่ได้ มันจะผิดพระธรรมผิดพระวินัย ถ้าเราเอาไปใช้ติดต่อกับผู้หญิงมันเป็นที่ลับหูลับตา พูดสองต่อสองกับผู้หญิง ใช้ไม่ได้นะ ผิดพระวินัย ถ้าเป็นโยมมาถือศีล เอามาใช้ในวัดไม่ได้ เรามาถือศีลเรามาปฏิบัติธรรม เราต้องหยุดไว้ก่อน เรากลับไปบ้าน เราก็ค่อยโทรค่อยใช้ เดี๋ยวเรามาโทร คุณแม่ชีก็อยากจะโทร พระเณรก็อยากจะโทรอยากจะใช้ เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้พระเสื่อม เณรเสื่อม โยมถือศีลปฏิบัติธรรมเสื่อม


พระพุทธเจ้าท่านให้เราตัดทางโลกหมด ใครมีเพื่อนใครมีญาติก็ให้บอกเค้า ถ้าไม่จำเป็นไม่ให้มาเยี่ยม เวลาญาติมาเยี่ยม เพื่อนมาเยี่ยม ก็อย่าได้ขอเค้าโทรศัพท์ อย่าไปสั่งเค้าให้เอาอันโน้นมาให้ เอาอันนี้มาให้ ผู้ที่เป็นเพื่อน เป็นญาติ เป็นโยมก็ให้เข้าใจตามนี้


พระบวชใหม่ เณรบวชใหม่ ผู้ที่ถือศีลปฏิบัติธรรมอินทรีย์บารมีมันยังไม่แก่ มันยังไม่กล้า มันต้องช่วยเค้าให้มันเคร่ง ๆ ไว้ก่อน

Large_tt66

 


ที่ว่ามันเคร่ง ๆ นี้มันยังไม่เคร่งนะ เพียงแต่เราปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนเท่านั้น


วัดเรานี้นะ... พระไม่ให้สูบบุหรี่ ไม่อ่านหนังสือพิมพ์ ไม่ฟังวิทยุ ไม่ดูโทรทัศน์ ไม่ให้มีมือถือ ไม่ให้รับเงินรับทอง ให้เราทุกคนที่ได้ยินได้ฟัง ให้เข้าใจตามนี้ อย่าให้ลูกให้หลานเราที่มาบวชนี้ทำความผิด


พ่อแม่หรือเพื่อนฝูงที่มาวัด มาเยี่ยมพระ มาหาพระ ยังไม่รู้จะเอาอะไรติดไม้ติดมือมาถวายพระ เลยไปเอาขนม เอาผลไม้ เอานม เอามาม่า เอาเครื่องดื่มต่าง ๆ มาถวายพระ พระก็ยังพระใหม่ ๆ อินทรีย์บารมียังไม่แก่กล้า เห็นขนม เห็นมาม่า เห็นผลไม้ น้ำลายมันก็ไหลนะ เพราะอยู่ที่บ้านมันทานอาหารวันหนึ่งตั้งหลายครั้ง


เมื่อมาอยู่วัดฉันอาหารมื้อเดียวมันก็หิว บางท่านได้ทำผิดศีล อดไม่ได้เลยไปแอบกินมาม่า ไปแอบกินขนม ทำผิดแล้วก็เสียใจ เป็นตราบาปให้กับตัวเองติดตัวไปจนวันตาย


บางคนติดบุหรี่ เมื่อมาอดมันก็กระวนกระวาย เวลาเพื่อนมาเยี่ยมก็แอบไปกระซิบว่าเอาบุหรี่มาให้ด้วย ไม่เป็นไรหรอก อาจารย์ไม่เห็น คนอื่นไม่เห็นแต่ตัวเองมันเห็นอยู่ “การบวชการปฏิบัติธรรมต้องเน้น ไปที่จิตที่ใจ คนอื่นไม่เห็นตัวเองมันก็เห็น...”


คนทำผิดคือการสร้างบาป สร้างกรรม สร้างเวร มันห้ามสวรรค์ ห้ามนิพพานให้กับตัวเอง


การมาบวชการมาปฏิบัติของเรา ก็คือการมาสร้างประวัติศาสตร์ให้กับตัวเอง เมื่อเรามาบวชแล้ว มาปฏิบัติแล้ว เราไม่ตั้งใจมันก็เสียเวลาบวช เสียเวลาเรามาอยู่วัด ไม่มีประโยชน์อะไรเลย เรามาบวช พ่อแม่ญาติพี่น้องทุกคนเค้าต้องกราบเราเค้าต้องไหว้เรา ถ้าเราไม่ตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัตินี้ไม่ใช่จะได้บุญ มันบาปมาก...!


การบวชการปฏิบัติมันเป็นเรื่องยากเรื่องลำบาก มันเป็นการแก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง เป็นการนำตัวเองมาประพฤติปฏิบัติ


พระใหม่ ๆ โยมใหม่ ๆ ยังไม่รู้การประพฤติปฏิบัติ…


ประการแรก... พระพุทธเจ้าท่านให้เราเน้นการรักษาศีล ทำข้อวัตรปฏิบัติ แล้วให้นั่งสมาธิ นั่งตัวตรง ขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ถ้าใครขัดสมาธิเพชรได้ก็ให้ขัดสมาธิเพชร ถ้าคนขายาวก็ขัดสมาธิเพชร ถ้าคนขาสั้น คนอ้วน มันขัดสมาธิเพชรลำบาก็ให้ขัดสมาธิเฉย ๆ นั่งให้สบาย ๆ ให้เรากำหนดหายใจเข้า ก็ให้มันสบาย หายใจออกก็ให้มันสบาย หายใจเข้าก็รู้สบาย หายใจออกก็รู้สบาย เอาสติมาอยู่กับลมหายใจเข้าหายใจออก

 


ถ้าเราทำอย่างนี้เดี๋ยวใจของเรามันก็สงบเอง เราอย่าไปอยากให้มันสงบ


คนเราทุก ๆ ท่านทุก ๆ คนอยากให้มันสงบ อยากให้มันไม่ปวดแข้งปวดขา เรายังไม่ได้นั่งเลย เราไปตั้งเป้าไว้ก่อน มันเลยเผาเราตั้งแต่ยังไม่ได้นั่งแล้ว คือกิเลสมันเผาเรา เราไม่ต้องไปคิดมัน ฌานหนึ่ง มันเป็นอย่างไร ฌานสอง ฌานสาม ฌานสี่มันเป็นอย่างไร...?


เรามีหน้าที่หายใจเข้าก็ให้รู้สบาย หายใจออกก็ให้รู้สบายไปเรื่อย ๆ มันสงบหรือไม่สงบอย่าไปสนใจ มันเลย บางทีมันคิดโน่นคิดนี่ ก็ให้เรากลับมาหายใจเข้าสบายออกสบายไปเรื่อย ๆ หรือว่าเราจะท่องพุทโธ ไปด้วยก็ได้ หายใจเข้าพุทธหายใจออกโธไปเรื่อย ๆ ก็ได้


หรือเราไม่กำหนดลมหายใจ เราท่องพุทโธในใจอย่างเดียว อย่างนี้ก็ได้


ถ้าใครมันคิดมากเกินจะเอาสติมาไว้ที่ท้องก็ได้ ไว้ที่เหนือสะดือ ท้องยุบก็สบาย ท้องพองก็สบาย เอาสติมาไว้ที่ท้องยุบท้องพองอย่างนี้ก็ได้


มันสงบหรือไม่สงบเราก็นั่งไปเรื่อยจนครบเวลาที่เรากำหนดไว้ เค้ากำหนดให้ครึ่งชั่วโมงก็ครึ่งชั่วโมง ถึงหยุด เค้ากำหนดให้หนึ่งชั่วโมงก็หนึ่งชั่วโมงถึงหยุด
ใจไม่สงบก็ให้กายมันสงบก่อน การงานที่ยังไม่รู้ที่ยังไม่เป็น มันก็ลำบากหน่อย ใจเรามันยังไม่ค่อยหยุด มีแต่ไปท่องเที่ยวมันก็ยากหน่อย เรามาหางานให้ใจของเราทำ อยู่กับการหายใจเข้า อยู่กับการหายใจออก หรือว่าอยู่กับการบริกรรมท่องพุทโธ ๆ หรือมาอยู่กับการหายใจเข้ายุบหายใจออกพอง มาอยู่กับยุบกับพอง


การทำสมาธิก็คือการทำงานอย่างหนึ่งของใจ ใจของเรามันอยู่เฉย ๆ อยู่นิ่ง ๆ ไม่ได้ ต้องหางานให้มันทำ หางานให้มันมีเครื่องอยู่

 


การมาประพฤติปฏิบัติหรือการมาบวชของเราให้เราตั้งใจประพฤติปฏิบัติให้มันดี ๆ เป็นพิเศษ เวลาเราสิกขาลาเพศ ไปประกอบอาชีพทำมาหากิน ก็เจริญ ก็ร่ำรวย ผิดกับผู้ที่มาบวชมาปฏิบัติแล้วไม่ตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ หลีกเลี่ยงข้อวัตรปฏิบัติไปเป็นวัน ๆ ถ้าเราทำอย่างนี้ เวลาเราสิกขาลาเพศไป ทำอะไรก็ไม่ขึ้น ทำอะไรก็ไม่เจริญนะ

 


สำหรับผู้ที่มาถือศีลมาปฏิบัติธรรม จะเป็นคนหนุ่ม คนสาว เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ เป็นนักเรียน นักศึกษา ก็ให้พากันตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ให้ทุกคนกลับมาดูตัวเอง กลับมาสอนตัวเอง เราอย่าไปอยากสอนคนอื่น สอนตนเองให้มันได้ก่อนถึงไปสอนคนอื่น อย่าเป็นคนมีหลักการมีวิชาการมากเกิน ส่วนใหญ่นั้นมันเอาตัวรอดยังไม่ได้ทั้งนั้นแหละ


ยกตัวอย่างพระอัสสชิท่านได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าก็ได้บรรลุธรรมใหม่ ๆ พระพุทธเจ้าท่านให้ไปประกาศพระศาสนาทิศละหนึ่งองค์ ท่านก็ได้ไปเจอพระสารีบุตรเมื่อครั้งยังเป็นอุปติสสะซึ่งเป็นเพื่อนกับ พระโมคคัลลานะ อุปติสสะก็ได้ไปเจอเห็นกิริยาที่สงบน่าเคารพเลื่อมใส จึงได้เข้าไปกราบขอฟังธรรม จากพระอัสสชิ พระอัสสชิก็พูดอ่อนน้อมถ่อมตนว่า เราบวชใหม่ เรายังแสดงธรรมยังไม่ได้ ยังไม่เป็น อุปติสสมานพก็ได้ถามว่า ใครเป็นครูเป็นอาจารย์ของท่าน พระอัสสชิท่านก็ตอบว่าผู้เป็นครูเป็นอาจารย์ ของข้าพเจ้าชื่อพระสมณโคดม


อุปติสสมานพก็อยากจะทราบว่าครูบาอาจารย์ท่านสอนอะไรบ้าง ขอท่านจงบอกธรรมะที่ท่านทราบ มาพอสังเขปด้วยเถิด พระอัสสชิได้ตรัสธรรมะพอสังเขปดังนี้ว่า “ธรรมเหล่าใดเกิดจากเหตุพระพุทธองค์ทรงตรัสเหตุของธรรมเหล่านั้น” พระอัสสชิท่านตรัสธรรมเพียงเท่านี้อุปติสสมานพก็ได้บรรลุ เป็นพระโสดาบัน


ผู้ที่ท่านเป็นพระอรหันต์ ถ้าไม่จำเป็นพูดท่านก็ยังไม่พูด ถ้าไม่จำเป็นสอนท่านก็ยังไม่สอน เรามาอยู่วัด เรามาปฏิบัติธรรมให้เราสอนตัวเองให้มาก ๆ นะ อย่าไปสนใจสอนคนอื่น


นักปฏิบัติเรานี้แหละเมื่อเป็นครูเป็นอาจารย์ ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้วก็เทศน์เก่ง ๆ แต่เมื่อท่านเข้าไป ในวัดของครูบาอาจารย์เค้าจะไม่เทศน์ไม่สอน ถ้าครูบาอาจารย์ไม่สั่ง เพราะที่บวชไม่กี่พรรษาส่วนใหญ่ มันกำลังเมาธรรมะ มันอยากเทศน์ อยากสอน ให้พยายามหยุดตัวเองไว้ เบรกตัวเองไว้ อย่าให้ตนเอง ส่ายหน้าส่ายหลัง ให้ใจมันนิ่ง ให้ใจมันหยุด

 


ถ้าไม่จำเป็นอย่าไปออกนอกวัดไปโน่นไปนี่ ส่วนใหญ่นะพวกนี้มีเรื่องมาก มีธุระมาก หาเรื่องที่จะออกนอกวัด เราเป็นนักปฏิบัติต้องให้รู้ว่าตัวเองกำลังเด้งหน้าเด้งหลัง ส่ายหน้าส่ายหลัง จิตใจมันยังฟุ้งกระจายอยู่


คนเราถ้ามันไม่รู้จักตัวเองนะ มันลำบาก...!


ขอให้ทุกท่านทุกคนหยุดนิ่ง รู้จักตัวเอง ถ้าไม่รู้จักตัวเองมันก็อยากจะไปเทศน์อยากจะไปสอนคนอื่น


ทุกวันนี้คนพวกนี้มันมีมากตามวัดต่าง ๆ อยู่ในวัดเรานี้อย่าให้มี อย่าพากันอวดรู้อวดฉลาดอวดเก่ง ส่วนใหญ่นักเทศน์นอกธรรมมาสน์มันมีมากมีเยอะนะ นักเทศน์นอกธรรมมาสน์นี้มันรู้จักแต่ออกไป แต่ข้างนอก มันไม่เทศน์ไม่สอนตัวเอง


คนเรานะ ถ้าไม่ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป มันก็จะแสดงอาการอะไรออกมาแปลก ๆ...


พระพุทธเจ้าท่านสอนเราต้องให้เป็นคนละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป ถ้าเราไม่ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาปศาสนานี้หมดเลย ไม่เหลือ เพราะจิตใจมันส่งออกข้างนอกหมด คนมันเก่งแต่ข้างนอก มันฉลาด แต่ข้างนอก มันลำบาก เหมือนภิกษุใบลานเปล่า


เมื่อครั้งพุทธกาลที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ พระภิกษุมีชื่อว่าพระมหาโพธิละ มีลูกศิษย์ลูกหา ที่ท่านเทศน์ท่านสอนได้บรรลุเป็นพระอรหันต์หลายร้อยรูป ท่านไปกราบพระพุทธเจ้าเมื่อไหร่ พระพุทธเจ้าท่านก็พูดทุกครั้งเลยว่ามาแล้วหรือใบลานเปล่า พอจะกลับท่านก็ตรัสว่าจะกลับแล้วหรือใบลานเปล่า
ท่านฟังจนได้สติว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสบอกว่าเรายังไม่ได้อะไร มีอะไร เป็นอะไร เรายังเป็นปุถุชนอยู่ ท่านจึงมีความละอายแก่ใจ คิดในใจว่าไม่ได้แล้ว เรายังไม่ได้บรรลุธรรม ต้องตั้งอกตั้งใจปฏิบัติต้องให้ได้ บรรลุธรรมในครั้งนี้ให้ได้
ท่านก็เลยไปหาพระที่เป็นลูกศิษย์ที่ท่านเคยสั่งสอน ที่เป็นพระอรหันต์ทุกรูป ไปหาใครเค้าเค้าก็ไม่บอก ไม่สอน เพราะตัวท่านเป็นครูเป็นอาจารย์รู้มากอยู่แล้ว สุดท้ายเลยไปหาสามเณรตัวน้อยอยู่ปลายแถวโน่น ไปขอเรียนธรรมะกับสามเณรตัวน้อย ๆ


สามเณรตัวน้อย ๆ นี้ไม่ใช่สามเณรธรรมดานะ ท่านเป็นพระอรหันต์ สามเณรก็บอกว่าได้ไม่มีปัญหา ถ้าอาจารย์ทำตามผม ผมว่าอย่างไรอาจารย์ต้องทำตามผมหมดนะ ผมถึงจะสอนให้


พระมหาโพธิละท่านก็บอกว่ายินดีที่จะปฏิบัติตามสามเณรทุกอย่าง สามเณรก็สั่งให้ครองจีวรอย่างดี สั่งให้เดินลงไปในน้ำ เดี๋ยวก็สั่งให้ขึ้นมาจากน้ำทำอย่างนี้กลับไปกลับมาหลายครั้ง สามเณรจึงได้รู้ว่า พระมหาโพธิละไม่มีทิฐิไม่มีมานะแล้วจึงได้บอกได้สอน


จากนั้นสามเณรจึงได้แสดงธรรมะว่า “มีจอมปลวกอยู่จอมหนึ่ง ข้างในมีเหี้ยอยู่หนึ่งตัว มีรูอยู่หกรู ให้ปิดทิ้งห้ารู ให้เหลือหนึ่งรู แล้วดูว่าเหี้ยมันจะออกมาเมื่อไหร่”


ความหมายของคำได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สามเณรให้ปิดหมด ตา หู จมูก ลิ้น กาย เอาให้เหลือแต่ “ใจ” เพื่อให้รู้จักใจตัวเอง เพราะธรรมทั้งหลายทั้งปวงมีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นประธาน เราจะทำดี ทำชั่ว ทำถูก ทำผิด เราก็รู้ที่ใจของเรา เพราะปัญหาต่าง ๆ มันเกิดที่จิตที่ใจของเรา สุดท้ายพระมหาโพธิละก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์

 


พระพุทธเจ้าท่านเตือนเรานะว่า “อย่าปฏิบัติส่งใจออกข้างนอกมากเกิน” มีแต่จะไปจัดการ เรื่องภายนอก เรื่องตัวเองแท้ ๆ นี้ไม่สนใจ ปล่อยให้ตนเองมีปัญหาให้กับตนเองและคนอื่น เมื่อไม่รู้จักตนเองท่านก็ว่าเราเป็นโรคทางใจนะ
เป็นโรคทางใจอย่างไร...? เป็นโรคทางใจก็คือ อันนี้ข้าพเจ้าชอบข้าพเจ้าถึงจะเอา อันนี้ข้าพเจ้าไม่ชอบข้าพเจ้าก็ไม่เอา เค้าพูดถูกใจ เค้าไม่ขัด มันก็ดี “พอง” ถ้าเค้าพูดไม่ถูกใจ เค้าไม่เห็นด้วย ก็ว่าไม่ดี “แฝ้บ”


โรคทางกายนี้ถือว่ามันน้อยมาก แต่โรคทางใจนี้มันมากมาย ท่านถึงให้เรากลับมาดูจิตดูใจตนเอง ถ้าเราไม่รู้จักตนเองมันจะหลงตนเอง “หลงอะไรก็ไม่เท่ากับหลงตัวเอง”


ถ้าเราไม่รู้จักตนเองจิตใจของเรามันก็ไม่ละอายต่อบาป ไม่เกรงกลัวต่อบาป คนอื่นที่ท่านมีจิตใจสูงกว่า ท่านมองเห็นเรานี้ว่ามีจิตใจหยาบมาก จิตใจสกปรกมาก แต่ตัวเองมันไม่รู้จักตัวเองนะ ครูบาอาจารย์ท่านเห็นว่าเรานี้แย่มากทำอะไรก็ยังผิดพลาดอยู่ ทำอะไรก็ไม่ค่อยถูกต้อง แต่เรามองไม่เห็นตัวเอง ใจก็อยากไปพระนิพพาน ถ้าไม่เห็นตัวเองคิดผิดทำผิด “มันจะแก้ไขได้อย่างไร ก็จะคิดว่าแต่ตัวเองถูก พระพุทธเจ้าตรัสไว้ก็ผิดหมด ครูบาอาจารย์สอนก็ผิดหมด เรื่องเส้นผมบังภูเขามันพูดยากมันคิดยาก”


ทุกท่านทุกคนต้องพิจารณาตัวเองว่าในใจของเรานี้มันมีอะไรบกพร่องบ้างที่จะต้องแก้ไข...?


เรื่องภายนอกเราก็ต้องพิจารณาเหมือนกัน ตัวไหนมันผิดพลาด พระพุทธเจ้าท่านก็ให้เราปรับปรุงแก้ไข ไม่ว่าเรื่องธุรกิจการงาน เรื่องความประพฤติของเราเอง มันอยู่ในร่องในรอยหรือเปล่า อยู่ในศีลในธรรม หรือเปล่า หรือว่ามันตกอยู่ในอบายมุขต่าง ๆ


เราให้ความรักความเมตตาในครอบครัวเราหรือยัง เราให้ความรักความเมตตาแก่เพื่อนฝูง ลูกน้องพ้องบริวารแล้วหรือยัง หรือว่าเราเป็นคนที่มัวแต่ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน วัดวาศาสนาก็ไม่สนใจ ไม่รู้จักไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิ ภาวนา

 


เวลาพูดก็ไม่มีการสำรวมระวัง เพราะการพูดนี้สำคัญมาก เราพูดดีมันก็มีประโยชน์แก่ตัวเราและผู้อื่น “ถ้าเราพูดไม่ดีก็เท่ากับว่าเราเป็นคนปากระเบิด...”
เราเป็นคนรู้จักวางแผนในการใช้จ่ายปัจจัยเงินทองแล้วหรือยัง...?


เรามาบวชเรามาปฏิบัติธรรม ท่านให้เรามาดูตนเองพิจารณาตนเอง เวลาเราลาสิกขา เวลาเรากลับไปบ้านเราจะได้ประพฤติตัวใหม่ แก้ตัวใหม่


ทุกท่านทุกคนต้องมีจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้ในใจไว้ดี ๆ เมื่อเราตั้งไว้ดี ๆ แล้ว เราก็พยายามปฏิบัติตาม


เรานี้เองคือแบบพิมพ์ของกุลบุตรลูกหลาน เรานี้เองคือปูชนียบุคคลให้ลูกให้หลานเขากราบไหว้เค้าบูชา


ทุกๆ ท่าน ๆ ทุก ๆ คนต้องทำประวัติศาสตร์ให้กับตัวเองไว้ให้ดี ๆ เมื่อยังมีชีวิตอยู่ก็ทำให้ทุกคนถูกธรรมถูกวินัยจะได้สบายใจ เมื่อเราจากไปก็ให้คนคิดถึง

 


การประพฤติปฏิบัติธรรมนี้เป็นของยากของลำบากแต่ทุก ๆ คนก็ต้องทำ ต้องปฏิบัติ อย่าได้พากัน อยู่สบาย อยู่เฉย ๆ ให้พากันแข่งขันทำความดี เมื่อคนอื่นทำได้เราก็ต้องทำได้ ทำความดีมันไม่ตายหรอกนะ อย่างมากก็เหนื่อย
เราทำมาหากินก็เพราะด้วยความจำยอม ความจำใจ ถ้าไม่จำเป็นน่ะเราก็ไม่อยากทำน่ะ


การทำมาหากินมันเป็นเรื่องของกาย การประพฤติปฏิบัติธรรมมันก็เป็นเรื่องจำเป็นเหมือนกัน มันเป็นเรื่องของจิตของใจ การทำมาหากินกับการปฏิบัติธรรมมันต้องควบคู่กันไป กายนี้มันจบลง เมื่อถูกเขาเผาที่ป่าช้า ใจของเราที่จะจบได้ก็เมื่อเข้าถึงพระนิพพาน กายกับใจจึงต้องปฏิบัติควบคู่กันไป


การมาบวชครั้งนี้ถือว่าเป็นโอกาสดีเป็นโอกาสพิเศษ พระพุทธเจ้าท่านให้กุลบุตรลูกหลานตั้งอกตั้งใจ อย่าให้มีคำว่าท้อแท้ท้อถอย อย่าไปคิดว่าวัดนี้มันเคร่งเกิน เครียดเกิน ถ้าไม่เคร่งครัดในข้อวัตรปฏิบัติ เราก็ไม่พากันมาบวชมาปฏิบัติ

Large_tt2191

 


ทุกคนชอบในพระวินัย ชอบในข้อวัตรปฏิบัติ...


วัดไหนที่จะรู้ว่าวัดนั้นดี วัดนั้นต้องมีข้อวัตรปฏิบัติ ถ้าไม่มีข้อวัตรปฏิบัติก็เหมือนกับเราอยู่ ที่บ้านเรา ต่างกันก็ตรงที่โกนผมห่มผ้าเหลือง


วัดคือสถานที่มีข้อปฏิบัติที่เคร่งครัดถึงเรียกว่า “วัด”


วัดเป็นสถานที่ของคนที่ตั้งใจทำความดี เราอย่าไปคิดว่าวัดนี้เป็นสถานที่ที่อยู่สบาย ๆ ตามใจ เป็นพวกที่มีปัญหา ไม่มีศักยภาพในการทำมาหากิน วัดนี้คือที่อยู่ของคนไม่ค่อยจะเต็ม วัดนี้คือที่อยู่ของคนพิกลพิการ วัดนี้คือที่อยู่ของคนที่มีปัญหาติดยาเสพติด


พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า จุดมุ่งหมายของวัดน่ะ สำหรับผู้บำเพ็ญบารมีที่จะไปพระนิพพานอย่างเดียวเท่านั้น ถ้าปฏิบัติไปเพื่อสวรรค์ยังไม่ได้ ปฏิบัติไปเพื่อลาภยศสรรเสริญเหมือนทางโลกถือว่าที่นั่นไม่ใช่สถานที่สัปปายะ


กุลบุตรลุกหลานที่มาบวช มาปฏิบัติ ถึงจะมาบวชระยะน้อยระยะยาว ให้พากันถือเนกขัมมะ มุ่งตรงต่อพระนิพพาน อย่ามุ่งแต่ประดับเกียรติประดับยศ ท่านต้องตั้งใจปฏิบัติ ตั้งใจบวช อย่าให้พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ท่านหนักใจ ประธานสงฆ์ท่านหนักใจ พระพี่เลี้ยงท่านหนักใจว่าพระชุดนี้ไม่ตั้งใจกัน ลำบากกับพระพวกนี้เหลือเกิน


ท่านต้องเป็นสุปฏิปันโน เป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ อย่าได้ส่งใจออกไปภายนอก ใจมันไปกิน ไปเที่ยว มันไปกินก๋วยเตี๋ยวในตลาด ใจมันไปเที่ยวในผับในบาร์ ท่านจะคิดอย่างนั้นไม่ได้ เราเป็นพระ เรามาคิดเหมือนกับฆราวาสนี้ไม่ได้ มันเป็นบาป...


พระพุทธเจ้าท่านให้เรามีสมณะสัญญาว่าขณะนี้เรากำลังเป็นพระ อาการกิริยาวาจาใจ ต้องไม่เหมือนโยม พยายามฝึกจิตฝึกใจให้ใจมันอยู่กับเนื้อกับตัว อยู่กับพุทโธ ๆ นั่งสมาธิเดินจงกรมก็ให้ใจ มันอยู่กับเนื้อกับตัว ทำวัตรสวดมนต์ก็ให้ใจมันอยู่กับการทำวัตรสวดมนต์ ไอ้เจ้าตัวร้ายที่มันอยู่ในจิตในใจนี้มันดิ้นเหลือเกิน ก็ช่างหัวมัน ถ้ามันคิดมากเกินก็กลั้นลมหายใจ เมื่อใจมันจะขาดมันก็กลับมาเอง


เราปล่อยเค้าจนเคยชินแล้ว จนเค้าติดเป็นนิสัยแล้ว เราจะควบคุมให้เค้าหยุดเค้านิ่งก็เป็นสิ่งที่ลำบาก “ลำบากก็ช่างหัวมัน นั่งสมาธิต้องนั่งให้มันได้นาน ๆ ครั้งหนึ่ง ให้เรานั่งสมาธิให้มันได้นาน ๆ เดินจงกรมเอาไว้ให้มันได้นาน ๆ ให้ใจมันอยู่กับการเดิน

 


“นั่งไม่ได้ก็ให้มันได้นั่ง เดินไม่ได้ก็ให้มันได้เดิน” เรามันก็คิดแต่จะได้รางวัล ได้ค่าจ้าง


พระพุทธเจ้าท่านตรัสให้เราเดินเพื่อปล่อยวาง นั่งเพื่อปล่อยวาง ท่านไม่ให้เรายุ่งมาก ไม่ให้เรา ปรุงแต่งอะไร มันจะไม่ได้อะไร มันได้โรคปวดหัว ได้โรคประสาท ถ้าเรานั่งทั้งวันเดินทั้งวันถ้าเราไม่คิดอะไร มันก็ไม่มีทุกข์อะไร


เราจะแต่อารมณ์ของสวรรค์ ในอารมณ์ความสะดวกสบายเพลิดเพลิน เมื่อเอาอารมณ์ของพระนิพพานให้มัน มันไม่เอา มันไม่สนุก ไม่ชอบความสงบ มันกลัวตายจากโลกนี้ มันกลัวตายจากรูปเสียงกลิ่นรส มันเลยดิ้นใหญ่เลยทีนี้ เหมือนปลาอยู่ในน้ำแล้วเอาขึ้นมาบนบกมันก็ดิ้นใหญ่เลย


การประพฤติปฏิบัติของเราน่ะมันก็เหมือนปลาดิ้นอยู่ในน้ำที่เราเอาขึ้นมาบนบก
ความเหน็ดเหนื่อย ความยากลำบาก ครูบาอาจารย์พานั่งสมาธิสองทุ่มถึงสามทุ่ม มันก็เบื่อ มันก็ท้อแท้ มันเบื่อเหลือเกิน มันทรมานเหลือเกิน ทำไมมันถึงทุกข์อย่างนี้ มันทุกข์เพราะใจของเราไปคิด ไปปรุง ไปแต่ง ถ้าเราไม่คิด ไม่ปรุง ไม่แต่ง มันก็ไม่ทุกข์อะไร


ถึงตีสามก็ยิ่งทุกข์กว่าเก่าอีก กำลังจะพักผ่อนสบาย ๆ ระฆังดังอีกแล้ว ต้องมาทำวัตรสวดมนต์ ต้องมานั่งสมาธิอีกแล้ว เราไม่รู้จักการประพฤติปฏิบัติ

 


พระพุทธเจ้าท่านให้เราเห็นทุกข์ มันทุกข์ที่ใจเรา ใจเรามันไปคิด ไปปรุง ไปแต่ง ไปต่อต้าน มันไปปฏิเสธความดี ความดีมันจะเกิดเราไม่ให้เกิด คือความแก่ ความเจ็บ ความตาย เมื่อเราไปต่อต้าน เราไปทุกข์ ไปปรุง ไปแต่งมันหายทุกข์ไหม..? มันไม่หายทุกข์ มันเพิ่มทุกข์ให้เราอีก มันทุกข์ทางกายยังไม่พอ มันก็เพิ่มทุกข์ทางใจอีก


พระพุทธเจ้าท่านให้เราเห็นทุกข์ มันทุกข์เพราะใจเราไปยึดไปถือแท้ ๆ นี่คือโรคทางใจนะ


นั่งสมาธิตีสามมันทุกข์หลาย มันทุกข์มาก นั่งโยกไปโยกมา อ่อนน้อมถ่อมตนอยู่นั่นแหละ


พระพุทธเจ้าท่านให้เราผ่านด่านนี้ ชื่อความง่วงหงาวหาวนอนนี้ นิวรณ์ตัวนี้เปรียบเสมือนเมฆก้อนใหญ่ มันพัดมาบังพระอาทิตย์ มาบังดวงจันทร์มืดมิดหมด



พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราหมกมุ่นจมอยู่ในสิ่งเหล่านี้ ให้เราทำจิตทำใจให้มันสบายอย่าไปยินดีในเวทนา ในความสุข ในความง่วงหงาวหาวนนอน


เราอย่าไปคิดว่านั่งไปแล้วก็พักผ่อนไปด้วย


พระพุทธเจ้าท่านให้เราทำจิตทำใจให้เป็นหนึ่ง ให้เราเห็นจิตเห็นใจตัวเอง เพราะความง่วงหงาว หาวนอนคือความมืด คนเวลาง่วงมันไม่เห็นใจตัวเอง พุทโธ ธัมโม สังโฆ มันหายหมดนะ ถ้ามันง่วงมาก ๆ เราอาจจะกลั้นลมหายใจ ถ้าใจมันจะขาดก็ให้ปล่อยลมหายใจ


พวกเรากำลังหลงถูกนิวรณ์มันครอบงำ ถูกกิเลสมันครอบงำ ถ้ามันยังไม่หาย
พระพุทธเจ้าท่านให้เอาบทสวดมนต์ที่เราท่องมาท่องในใจของเรา ดีกว่าเราไปนั่งหลับ

 


พยายามฝึกใจไม่ให้เราง่วง ไม่ให้เราหลับ จิตใจของเราจะได้เข้มแข็ง ถ้าเราเคลิ้มกับเวทนานิดหน่อย เราก็สัปหงกได้ ให้ใจของเราใส ให้ใจของเราเบิกบาน


พระพุทธเจ้าท่านสอนพระเวลาฉันอาหารเสร็จให้นั่งสมาธิ เพราะฉันข้าวเสร็จมันง่วงมาก เราจะฝึกใจ เพื่อทำจิตใจให้เป็นสมาธิ เพื่อสู้กับนิวรณ์


คนเราจิตใจต้องเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยวจริง ๆ จึงเข้าสมาธิได้ ตั้งใจหัด ตั้งใจปฏิบัติ
พวกเราทุกท่านทุกคนในพระพุทธศาสนาย่อมไม่มีความอ่อนแอ ถ้าเราอ่อนแอเมื่อใด นิวรณ์ความง่วงหงาวหาวนอนก็ทับถมจิตใจของเรา ถ้าเราเคยแพ้มันจะแพ้ไปเรื่อย ถ้าเราชนะมันบ้าง แล้วก็เอาชนะมันไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะชนะมันเด็ดขาด


พระพุทธเจ้าท่านสอนเราทุก ๆ คนให้เข้มแข็งนะ ถ้าไม่เข้มแข็งไม่ได้ ต้องไม่กลัว ต้องตั้งใจนะ


เวลาทำวัตรเช้าน่ะ อย่าไปสวดไปหลับไป ให้ตั้งใจสวด เดี๋ยวมันจะหลับ ต้องตั้งใจสวดด้วยเอาจริงเอาจังด้วยสติสัมปชัญญะ


“ถ้าไม่ตั้งใจมันหลับแน่ เพราะตีสามถึงตีสี่นี้มันง่วง…!”


การปฏิบัติธรรมมันเป็นสิ่งที่ทวนกระแส เราจะมาสะเงาะสะแงะ กระท่อนกระแท่นไม่ได้ ท่านจึงบอกว่า “พระอยู่ที่ใจ พระนิพพานอยู่ที่ตายก่อนตาย...”


เราได้มาบวชเราได้มาปฏิบัติ ให้ถือว่าเราเป็นผู้โชคดี


พระพุทธเจ้าครูบาอาจารย์ให้เราตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ถึงแม้ว่าจะบวชไม่นานก็ยังดีกว่าผู้ที่บวช แต่ไม่ได้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ขอให้ทุกท่านภูมิใจ ดีใจ ทุกคนรักท่านเคารพนับถือท่าน อย่าให้ความรัก ความเคารพนั้นผิดหวังในตัวท่าน


พระพุทธเจ้าท่านหวังว่ากุลบุตรลูกหลานทุกท่านทุกคนจะมีความหนักแน่นเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว ให้สมกับเป็นลูกศิษย์ของเราตถาคต ให้ทุกท่านทุกคนถือว่าเกิดมาครั้งเดียวตายครั้งเดียว ไม่ต้องกลัว ให้มันตายเพราะความดี วันหนึ่งคืนหนึ่งถือว่าเป็นการปฏิบัติของเรา ชีวิตของเราทุกท่านทุกคนต้องก้าว ด้วยความดี สิ่งที่ผ่านมาแล้วก็แล้วไป ทีนี้ทุกท่านทุกคนจะเอาใหม่จะแก้ตัวใหม่…

 

Large_tt65

 

ถ้าเราบวชนานบวชไม่สึกเราต้องเป็นพระอริยเจ้าแน่นอน ถ้าบวชนานถ้าตั้งใจประพฤติปฏิบัติยิ่งได้อินทรีย์บารมีที่แก่กล้า เพราะเหตุเพราะปัจจัยที่เรากำลังสร้างไว้ พระผู้ที่ตั้งใจบวชไม่สึกเป็นนักบวชอาชีพ


พระพุทธเจ้าท่านให้พัฒนาตัวเองให้มันต่อเนื่อง อย่าไปคิดว่าปฏิบัติแค่นี้พอแล้ว ถ้าเรายังขี้เกียจอยู่ ยังติดสบายอยู่ถือว่าเรายังปฏิบัติยังไม่ผ่าน เพราะเราดูแบบอย่างพระพุทธเจ้า


พระพุทธเจ้าท่านขี้เกียจไม่เป็น พระอรหันต์ท่านขี้เกียจไม่เป็น ถ้าเรายังไม่อยากนั่งสมาธิเดินจงกรม ทำวัตรสวดมนต์ เราก็ผ่านความสะดวกสบายไม่ได้
พระเราชอบหลงประเด็นเหมือนกันนะ...


เอาความขี้เกียจขี้คร้านเป็นความปล่องวาง เราจะไปมัวกินแต่บุญเก่า เดี๋ยวบุญเก่ามันจะหมด แทนที่ชีวิตอาชีพนักบวชมันจะรุ่งโรจน์ กลับตกลงริบหรี่มีแต่จะหมดแสงหมดพลัง


เรากำลังมีความผิดนะที่เราขี้เกียจ นั่งสมาธิเดินจงกรมทำวัตรสวดมนต์ ถ้าเราหมดกิเลสแล้วเราบอกตัวเองว่าเราไม่ขี้เกียจ ถ้าเราขี้เกียจอยู่ยังใช้ไม่ได้ ความหลงมันกำลังเกิดที่จิตที่ใจเรานะ บทสวดมนต์ต่าง ๆ ที่เราท่องแล้วเราต้องทบทวน บทไหนที่ยังไม่ได้พยายามท่องให้มันได้ บทสวดอภิธรรม บทสวดให้ศีลให้พระต้องท่องให้ได้ เสียงดังฟังชัด ไม่สะทกสะท้านเป็นผู้นำได้


ถ้าเราไม่ปฏิบัติอย่างนี้ไม่วางแผนชีวิตอย่างนี้ เมื่อเราแก่ขึ้นพรรษามากขึ้นเราจะสร้างปัญหาให้กับตัวเอง ไม่ทำหน้าที่สมบูรณ์ในความเป็นพระ ให้ตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ…(2/2)



หมายเลขบันทึก: 488246เขียนเมื่อ 16 พฤษภาคม 2012 22:55 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 มิถุนายน 2012 11:23 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ไม่อนุญาตให้แสดงความเห็น
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท