ในความเชื่อของศาสนาฮินดู พระศิวะและพระนางศักติเป็นคู่เทพและเทพีที่ทรงอิทธิฤทธิ์ พระศิวะได้ชื่อว่าเป็นราชาแห่งทวยเทพ เทพแห่งชีวิตชีวา เทพแห่งความกรุณา พระนางศักติเป็นตัวแทนของพลังฝ่ายหญิงในจักรวาล
วันหนึ่งขณะพระศิวะและพระนางศักติกำลังนั่งมองดูมายังโลกเบื้องล่าง เทพทั้งสองต่างมองเห็นถึงความทุกข์เข็ญของชาวโลกที่กำลังประสบอยู่ เทพีศักติมองเห็นชายยากจนคนหนึ่งกำลังเดินอยู่บนถนนอันโดดเดี่ยว เสื้อผ้าเก่ารุ่งริ่ง รองเท้าที่ขาดแล้วแต่ยังถูกใช้งานโดยเชือกที่ผูกมัดมันอยู่อย่างหละหลวม พระนางศักติจึงเกิดความสงสารชายผู้นี้นัก พระนางรู้ดีว่าชายผู้นี้เป็นคนดีแต่เขากำลังเดือดร้อนกระเสือกกระสน พระนางจึงหันไปคุยกับพระสามี (พระศิวะ) เพื่อขอให้ท่านช่วยเหลือโดยการให้ทองคำกับชายผู้นั้น พระศิวะจึงมองไปที่ชายคนนั้นเนิ่นนาน พิจารณาถึงคำร้องของพระเทพี
"เห็นทีจะไม่ได้ น้องรัก" พระศิวะกล่าว
พระนางซึ่งรู้ดีว่าไม่มีอะไรที่พระศิวะจะทำไม่ได้ด้วยอำนาจที่มีจึงกล่าวด้วยความแปลกใจว่า "ทำไมหรือท่านพี่ เราจะแสดงความเมตตากับชายผู้ยากไร้คนนี้ด้วยการให้ทองคำเล็กๆ น้อยๆ กับเขาไม่ได้ล่ะ ในเมื่อเขาเป็นคนดี"
"พี่ไม่อาจให้ทองคำกับเขาได้ เพราะเขายังไม่พร้อมที่จะรับมัน" พระศิวะกล่าวต่อ
พระนางเทวีเริ่มโกรธและถามว่า "ท่านพี่หมายความว่าจะโยนถุงทองคำลงตรงหน้าชายผู้นั้นไม่ได้เชียวหรือ?"
"พี่ทำได้แน่นอน" พระศิวะกล่าว
"ถ้าอย่างนั้น...ทำเลยค่ะ" พระเทวีทรงคาดคั้น
พระศิวะไม่อาจขัดใจพระนางได้อีกต่อไป ในทันใดพระศิวะก็โยนถุงทองคำไว้บนถนนข้างหน้าชายผู้ยากไร้คนนั้น ชายผู้นั้นกำลังเดินไปด้วยความครุ่นคิดว่า...
"เอ...เราพอจะหาอาหารสำหรับมื้อเย็นนี้ได้นี่ไหนนะ หรืออาจจะต้องอดอีกมื้อ?"
เมื่อเดินมาถึงที่ที่ถุงทองคำวางอยู่ ชายผู้นั้นก็บ่นว่า "ดูนี่สิถุงก้อนหินถุงเบ้อเริ่มเลยเนี่ย ดีแล้วที่มองเห็นมันก่อนไม่อย่างนั้นจะสะดุดถุงหินนี้ล้มทำให้รองเท้าขาดไปพอดี" พูดแล้วเขาก็เดินข้ามถุงนั้นไปด้วยความระมัดระวัง แล้วเดินไปตามทางต่อไป
บ่อยครั้งที่ชีวิตทิ้งถุงทองคำไว้ให้เราบนทางเดิน แต่เราก็คงเป็นเหมือนชายในเรื่องที่ไม่สามารถหรือไม่อาจมองเห็นคุณค่าของมัน เราเดินข้ามถุงทองคำนั้นไปอย่างไม่แยแส และมัวแต่กังวลถึงปัญหาที่อยู่ตรงหน้า...
คนที่มีปัญญาเท่านั้นจะสามารถมองเห็นทองคำที่บรรจุอยู่ในถุงนั้น สำหรับบางคนข่าวร้ายก็คงเป็นแค่เพียงข่าวร้าย แต่สำหรับบางคนข่าวร้ายก็เป็นอะไรที่มากกว่านั้น เป็นอะไรที่ทำให้เราเห็นโอกาสที่ดีในชีวิต เป็นเหมือนถุงทองคำแห่งความหยั่งรู้ ความตื่น ความรู้และหนทางแห่งชีวิตที่มีคุณค่า
หญิงสาวคนหนึ่งอายุยี่สิบกว่าๆ ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็ง เมื่อก่อนนี้เธอมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเธอเอง แต่หลังจากได้รับข่าวร้าย เธอมีชีวิตอยู่เพื่อช่วยเหลือผู้ร่วมชะตาชีวิตเดียวกันกับเธอ ตอนนี้เธอทำงานเพื่อหาเงินสมทบทุนให้กับศูนย์วิจัยมะเร็ง "ชีวิตที่เป็นมะเร็งของฉันมีคุณค่ากว่าชีวิตที่ไม่เป็นมะเร็งอีก" เธอกล่าว..
การที่จะรู้คุณค่าของถุงทองคำบนทางเดินชีวิต ความรู้ตื่นต่อความเป็นไปได้ในชีวิตเป็นสิ่งจำเป็น ที่ผ่านมาลองคิดดูว่าถุงทองคำของเราคืออะไร เราเจอมันที่ไหน และเราทำอย่างไรกับมัน เก็บมันไว้หรือเดินผ่านมันไปเฉยๆ
ใน g2k ก็มีคนที่มองเห็นข่าวร้ายเป็นถุงทองคำมากมายหลายท่าน เท่าที่ได้อ่านเรื่องราวมาก็หลายคน...
ขอคาราวะด้วยใจจริงค่ะ...
Karunesh - Follow your heart...
.."คิดแบบศิวะ..ที่ว่า..ยังไม่ถึงเวลา.."คงจารู้ว่า..อีตาคนนี้หิว"..ถ้าเมียไม่อ้อนออกให้ๆทองละก็..คงจะให้..ฟ้าดฟู้ด..สักกล่อง...(จาดีกว่ามั้ง..)..ตาแกคนนี้..คงไม่เดินข้ามโอกาศแน่..นะเจ้าคะ..ยายธี
สวัสดีค่ะคุณปริม...
...เชื่อค่ะว่าทุกคนมีถุงทองที่ผ่านเข้ามาในชีวิตและคนเราสามารถหยิบยื่นถุงทองจากตัวเองแบ่งปันให้คนอื่นๆได้ เพียงแต่ต้องดูจังหวะโอกาสหรือความจำเป็น(จริงๆ)สำหรับคนๆนั้นค่ะ.
(@^____^@)
สวัสดีค่ะคุณยายธี
ว่าแล้วเชียว....ตอนพิมพ์เรื่องนี้ก็คิดอยู่เหมือนกันว่าทำไมต้องให้ทองคำ น่าจะให้เสื้อผ้า รองเท้า หรืออาหารมากกว่า อิอิอิ...
แต่ทองคำก็ดีค่ะ พักนี้ทองคำราคาสูงค่ะคุณยาย...;)
ขอบคุณค่ะ
สวัสดีค่ะคุณน้อย
ใช่แล้วค่ะ จังหวะ โอกาส ความตื่น ที่จะทำให้เรามองเห็นทองคำในถุงได้ในวันที่ข่าวร้ายมาเยือน หากเราทำได้ เราจะเป็นคนที่ต่างจากคนอื่นอีกหลายๆคนค่ะ
ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ
สวัสดีค่ะคุณปริม ขอบคุณมากค่ะ อ่านแล้วก็ได้หันมามองตน ที่ผ่านมาบ่อยครั้งที่เดินผ่านถุงทองของชีวิต ต้องกลับมาตั้งสติใหม่ ตั้งหลัก ตั้งใจ สุดท้ายก็ได้เก็บถุงทองมาใช้เป็นแหล่งทรัพยากรที่มีคุณค่า ก้าวต่อไปคือความมั่นคง เพียงให้โอกาสตัวเราเองค่ะ
สวัสดีค่ะคุณ Wahoo_BluESkY,
ขอบคุณมากนะคะที่แวะมาเยี่ยมเยียน ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ :)
สวัสดีค่ะคุณถาวร,
ดีใจด้วยที่พบถุงทองคำของตนเองค่ะ ปริมจะพยายามเปิดตามองให้เห็นค่ะ
ฝันดีนะคะ :)
ถ้าถุงใบนั้นกลายเป็นข้าวห่อน่าจะดี เขาคงไม่เดินผ่านเป็นแน่แท้ แม้แต่พระ้จ้ายังมิเข้าใจสถานการณ์ของผู้ยากไร้เลยเนาะ แต่ ภาพประกอบงดงามมาก เพลงก็เพราะ ขอบคุณกับการแบ่งปันที่งดงามครับ
สวัสดีค่ะคุณ Sarapee,
มิแน่ใจว่าจะโทษพระเจ้าหรือโทษตัวเองที่มองไม่เป็นเองนะคะเรื่องนี้ หากมองไม่เป็น ไม่ตื่นรู้ ถึงเอาห่อข้าวไปวางข้างหน้าเขาอาจคิดว่าเป็นห่อขยะแล้วเดินข้ามไปอีกก็ได้ หากใจปิด
ดีใจที่คุณชอบภาพประกอบค่ะ เป็นภาพเทพและเทพี ประติมากรรมฝาผนังทางขึ้นกุฏิหลวงพ่อท่านเจ้าอาวาสวัดแสนเมืองมาหลวง (หัวข่วง) เชียงใหม่ วัดที่ฉันไปกราบนมัสการหลวงพ่อแทบทุกครั้งที่กลับบ้านค่ะ
Karunesh เป็นศิลปินในแนว new age ที่ฉันชื่นชมผลงานของเขามาก ฟังแล้วผ่อนคลาย มีสมาธิ ดีใจที่คุณชอบค่ะ
ขอบคุณค่ะที่กรุณามาทักทายกัน
...ขอบคุณครับคุณปริม สำหรับผมถุงนั้นมีค่ามากกว่าทองคำเสียอีก เป็นถุงแห่งปัญญา ถุงแห่งการค้นพบความหมายของตัวตน ซึ่งผมเองกำลังเรียนรู้และค้นหาอยู่ต่อไป...
ขอบคุณ มากค่ะ ที่ ได้แสดงความคิดเห็นใน http://www.gotoknow.org/blogs/posts/486565 ที่ให้เกียรติดิฉันมากมายป่านนี้ ดิฉันเข้าใจความหมายที่คุณเขียน อ่านแล้วมีความสุข ขอบคุณอีกครั้งจากใจจริง
แต่ในชีวิตจริง ดิฉัน อาจเป็นยิ่งกว่าชายคนนั้นอีก หากเจอเหตุการณ์อย่างที่คุณเขียนบันทึก " คุณเชื่อมั๊ย ดิฉันไม่มีทองสักบาท ไม่เคยคิดจะซื้อทอง ไม่คิดจะเก็บไม่คิดใส่ ไม่คิดอยากได้ สินสอดทองหมั้น สมัยแต่งงานดิฉันคือฝ่ายสามีหมด เข้ากงสี จนฝ่ายสามีอึ้ง แต่ดิฉันยืนยันเจตนา ถ้าให้ดิฉันเก็บมันจะทุกข์มากกว่า ทุกวันนี้สามีเป็นคนบริหารเงินให้ เพราะดิฉันไม่รู้สึกเห็นคุณค่าของการมีทอง หลายคนคิดว่าทองมีค่า แปลงเป็นเงินได้ เพราะเราไปตีค่าของมัน ให้มันมีค่า พอมีมันแล้วก็ทุกข์ ดิฉันมักจะใช้ชีวิตสมถะเท่าที่ดิฉันจะหาเลี้ยงตัวเองได้ ทองหรือเพชรไม่เคยมีความหมายในชีวิตของฉันเลย คืออาจด้วย Nature ของฉันเอง ขนาด ATM ก็เพิ่งหายใบที่ 4 สดๆร้อนๆ 2 วันนี่เอง จนคุณสามี บอกต่อไปไม่ต้องถืออะไรเลย อยากได้อะไร เดี๋ยวเขาจัดการให้ " นี่แหล่ะค่ะตัวตน ชลัญ blank ๆ เบลอ ๆ เซอๆ เฮ้อ ....ชลัญ...
สวัสดีค่ะคุณพิชัย
ขอแสดงความยินดีด้วยค่ะที่ค้นพบถุงแห่งปัญญา ถุงแห่งการค้นพบความหมายของตัวตน
จากหลายๆ บันทึกปริมก็คิดว่าคุณพิชัยทำได้ดีมากๆๆ เลยค่ะ เอาใจช่วยด้วยค่ะ
:)
สวัสดีค่ะคุณชลัญธร
พอดีประทับใจอนุทินของคุณน่ะค่ะ เลยเอาเรื่องนี้มาเล่าเพื่อชื่นชมคนดีดีอย่างคุณ
คุณมีเพื่อนเพิ่มขึ้นอีกคนแล้วค่ะ ปริมก็ไม่ค่อยชอบเครื่องประดับประดาพวกเพชรทองแบบนี้เท่าไหร่ พักหลังมานี้แม้นาฬิกาก็ไม่ใส่ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกไม่มีเวลานะคะ
บางอย่างมีน้อยก็ทุกข์น้อยค่ะ บางอย่างหายไปแล้วโล่งใจก็มี ของนอกกายเหล่านี้ไม่มีความหมายเท่าความรักความผูกพันของคนในครอบครัวหรอกค่ะ คุณชลัญมีลูกสาวและมีคุณสามีที่น่ารัก ก็เป็นครอบครัวที่มีความสุขมากแล้วค่ะ
ขอเป็นกำลังใจให้อีกคนนะคะ :)