๕. การจัดการเรียนรู้ที่มีคุณภาพอย่างเป็นระบบ
เป็นข้อยุติที่แน่นอนในหมู่วงนักการศึกษา ที่ค้นคว้ารวบรวมแนวคิดในการแก้ปัญหาและอุปสรรคในการจัดการศึกษาของหลายประเทศทั่วโลกแล้วว่า คุณภาพการศึกษาที่ดีที่สุด ขึ้นอยู่กับการได้เรียนรู้จากการปฏิบัติจริง ในชีวิตจริงของเด็กๆ ซึ่งข้อสรุปนี้ก็สอดคล้องกับหลักการทางจิตวิทยาการเรียนรู้ และจิตวิทยาพัฒนาการนั่นเอง การจัดการศึกษาอย่างมีคุณภาพ ตามที่นักวิชาการค้นคว้ามีหลายวิธี หลายแนวทาง ซึ่งมีชื่อเรียกอย่างหลากหลายตามที่มีผู้คิดค้นได้ แต่ไม่ว่าจะเรียกชื่ออะไรก็ตาม วิธีการจัดการเรียนรู้ที่มีคุณภาพจะมีหลักสำคัญคล้ายๆกัน และสอดคล้องกัน คือ มีระบบ มีหลักการ มีขั้นตอนการเรียนรู้ หรือปฏิบัติตามจิตวิทยาการเรียนรู้ โดยเฉพาะจิตวิทยาเชิงพฤติกรรม จะยิ่งมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ดังนี้
.
๑. ทำงานอย่างมีคุณภาพ (สอดคล้องกับหลัก PDCA)
P = PLAN วางแผนเตรียมการก่อนดำเนินการ
.
D = DO ดำเนินการตามขั้นตอนกระบวนการเรียนรู้ หรือ ทฤษฎีทางจิตวิทยาการศึกษา
.
C = Check ประเมินผลการจัดการเรียนรู้ และรายงานผล
โดยแบบทดสอบประจำหน่วย ควรมี ๒ ตอน ตอนที่ ๑ สอบถามความรู้ หลักการ ขั้นตอน ความรู้เสริมอย่าง ละเอียดคลอบคลุม (K) ตอนที่ ๒ สอบวัดการปฏิบัติจริง (P)
ตัวอย่างเช่น วิชาภาษาไทย (หน่วยการเขียนเรียงความ) ตอนที่ ๑ ให้ทดสอบความรู้ว่า การเขียนเรียงความ คืออะไร ต่างจากการเขียนจินตนาการ จดหมาย สารคดีอย่างไร เรียงความที่ดีมีลักษณะอย่างไร การเขียน เรียงความที่ดีมีกระบวนขั้นตอนอย่างไร การเขียนเรียงความที่ดีมีกี่ประเภท วิธีการเขียนคำนำให้น่าอ่านน่า สนใจควรเขียนอย่างไร ฯลฯ ตอนที่ ๒ ให้เขียนเรียงความตามสถานการณ์ที่กำหนดให้
.
A = Action นำผลการประเมินไปปรับปรุงการจัดการเรียนรู้
.
เมื่อเพื่อนครูทำงานอย่างมีคุณภาพเป็นระบบแล้ว สิ่งที่เพื่อนครูไม่ควรลืมในการปฏิบัติต่อเด็ก คือ การยอมรับความแตกต่างของบุคคล การสร้างแรงจูงใจ การสร้างบรรยากาศที่มีความสุข เอื้อต่อการเรียนรู้ ในชั้นเรียนและนอกชั้นเรียนด้วย เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยเกื้อหนุนที่ช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้ได้สูงสุด สิ่งเหล่านี้ เพื่อนครูสามารถหาความรู้เพิ่มเติมจากหนังสือจิตวิทยาการศึกษาที่มีจำหน่ายแพร่หลายอยู่แล้ว หนังสือด้านจิตวิทยาการศึกษา ที่ขอแนะนำได้แก่
๑. หนังสือจิตวิทยาการศึกษา ของ ศ.ดร.สุรางค์ โค้วตระกูล
๒. จิตวิทยาการเรียนการสอน ของ รศ.ดร.พรรณี ช.เจนจิต
๓. หนังสือชุดจิตวิทยาต่างๆ ของ ดร.ประมวญ ดิกคินสัน
๔. หนังสือหลักการสอน ของ รศ.ดร.ทิศนา แขมมณี
ฯลฯ
.
๒. ทำงานด้วยใจเมตตา (เห็นเด็กเป็นเด็ก)
1. เชื่อว่า เด็กทุกคนเหมือนกัน แต่ไม่เท่ากัน และแตกต่างกันไปตามสภาวะแวดล้อมของเด็ก
2. เชื่อว่า เด็กมีศักยภาพที่พร้อมในการเรียนรู้ แต่ยังมิได้ถูกฝึกฝนอย่างถูกวิธี
3. เชื่อว่า เด็กสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ถ้าให้ข้อมูล เป้าหมาย โอกาส และเวลาอย่างเพียงพอ
4. เชื่อว่า เด็กไม่ตั้งใจเป็นคนไม่ดี หรือทำชั่ว เพียงแต่เด็กทำผิดเพราะพลาดไป เผลอไป ไม่รอบคอบพอ
5. เชื่อว่า คำพูดแต่ละคำ การกระทำแต่ละครั้งของครู มีคุณค่าและอิทธิพลต่อชีวิตของเด็กเสมอ
.
๓. รักสิ่งที่ทำ(สอน) ศรัทธาสิ่งที่เป็น(ครู)
1. รักความเป็นครู อยากชี้แนะ อยากถ่ายทอด อยากฝึกฝนเด็ก
2. ใฝ่รู้ ชอบอ่าน ชอบศึกษาค้นคว้าแสวงหา ชอบการเปลี่ยนแปลงและพัฒนา
3. มีสติพร้อมจะอดทนเมื่อเจอปัญหา มีสมาธิหนักแน่นในงานที่ทำ
4. เจอปัญหาอุปสรรคมากๆ ก็ไประบายกับกัลยาณมิตร หรือไปเที่ยวในที่ต่างๆ เดี๋ยวก็หาย
.
๔. สิ่งที่คนที่เป็น "ครู" ไม่ควรทำ
1. สอน หรืออธิบายหนังสือเรียนจนจบ ...(แต่นักเรียนไม่จบ) ยัดเยียดเนื้อหาสาระมากเกินไป นักเรียนไม่มีโอกาสคิดทำเอง
2. นักเรียนเรียนก็ได้ ไม่เรียนก็ได้ สิ้นเทอม ก็สอบผ่านทุกคนโดยไม่คำนึงถึงคุณภาพ
3. คิดว่าจะทำอย่างไรให้เด็กตั้งใจเรียนทุกวัน ให้เด็กทุกคนมีความรู้เท่ากันให้ได้
4. ให้แต่ภาระงาน หรือรายงาน, ชอบสอนแบบกิจกรรมกลุ่ม แต่คะแนนและผลการดำเนินงานไม่เป็นไปตามกระบวนกลุ่ม,
5. ชอบให้คะแนนทำรายงานตามรูปปกที่สวย มีภาพประกอบข้างในเล่ม ยิ่งมากยิ่งดี พิมพ์ได้เยอะหลายหน้า รวมแล้วรูปเล่มดี แต่ไม่เคยตรวจเนื้อหาว่านักเรียนเขียนรายงานจากความเข้าใจที่ได้ไปศึกษาค้นคว้ามาจริงหรือเปล่า ทั้งหมดสร้างภาระการทำงานให้เด็กมาก แต่ไม่มีผล มีความหมายต่อการเรียนรู้
.
๕. สิ่งที่ต้องให้นักเรียนช่วยทำ
1. ให้นักเรียนทำกิจกรรมการเรียนร่วมกัน ช่วยสอนเพื่อน แนะนำรุ่นน้อง เพื่อแบ่งปันความรู้ และน้ำใจแก่กัน และจากผลวิจัยต่างๆ ยืนยันว่า การที่เพื่อนสอนเพื่อน หรือพี่สอนน้อง ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ได้ดีกว่าครูสอน
2. ให้นักเรียนช่วยเสนอแนะวิธีการจัดการเรียนรู้ หรือระบุเรื่องที่จะเรียนรู้ในครั้งต่อไป ยิ่งได้ทุกเรื่องยิ่งดี และถ้าก่อนเปิดภาคเรียนใหม่ยิ่งดีใหญ่
3. ให้นักเรียนวิจารณ์และประเมินผลงานการเรียนรู้ของตนเอง หรือเพื่อนตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ (Rubric) เพื่อฝึกให้นักเรียนมีมุมมองหลายด้าน และทำให้มองเห็นผลงานที่ดีควรเป็นอย่างไร และถ้าจะปรับปรุงข้อบกพร่องให้ดีขึ้นควรทำอย่างไร
4. ให้นักเรียนช่วยกันเสนอปัญหาในการเรียน การทำกิจกรรม เพื่อร่วมกันคิดหาวิธีแก้ปัญหา แล้วสรุปเป็นมติ หรือข้อตกลงที่ทุกคนรับรู้และต้องปฏิบัติตามด้วยกัน
.
ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม
๑. การจัดการเรียนรู้ที่ดี ควรกำหนดเป้าหมายการเรียนรู้ให้ชัดเจน และเป้าหมายที่จะพัฒนา ฝึก ปลูกฝังให้กับผู้เรียนในแต่ละภาคเรียนไม่ควรมีมากเกินไป เอาเฉพาะเด่นๆก็พอ จะได้มีเวลาพัฒนาปลูกฝังได้อย่างประณีต และควรมีเวลาว่างประมาณ ๒-๓ สัปดาห์เพื่อให้เด็กได้เลือกที่จะเรียนรู้ หรือทำในสิ่งที่เขาสนใจบ้าง
.
๒. หัวใจของการศึกษาที่แท้ คือ
.
๓. ครูที่แท้จริง คือ....
.
๔. การศึกษาที่ดีต้องช่วยพ้นทุกข์ สร้างความสุข
ทุกวันนี้ เด็ก ๆ ไม่มีความสุขในการมาโรงเรียน เขามีแต่ความทุกข์........ทุกข์มาจากบ้านแล้ว ยังต้องทุกข์ที่มาเรียนอีก
เขาทุกข์ .....เพราะครูไม่เข้าใจปัญหาของเขา และไม่ช่วยหาทางออกให้เขาบ้าง ไม่รักเขาเหมือนลูก แต่ชอบเรียกเขาว่า “ลูกศิษย์”
เพิ่มทุกข์ .... โดยให้เขาเรียน ในสิ่งที่เขาไม่อยากเรียน เรียนไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ เรียนมากเกินไป ไม่รู้จะเรียนไปทำไม เขาต้องทำในสิ่งที่เขาไม่เข้าใจว่าทำไปทำไม
ทนทุกข์ ... เพราะเขาคิดว่าเขาไม่ใช่นักเรียน แต่เขา คือ นักโทษ... ในเรือนจำทางการศึกษา
.
ถ้าการมาโรงเรียน คือ ความทุกข์ การศึกษาก็จะไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง
ขอบพระคุณบทความดีๆมาแบ่งปัน และตรงกับหลักการที่อบรบหลักสูตร 3pbl ของดร.ฤทธิไกร
จะพยายามพัฒนากระบวนการนี้ให้เจริญเติบโตอย่างตั้งใจ