๒. ควรจัดการศึกษาอย่างไร จึงเป็นการศึกษาที่แท้จริง
จากผลวิจัยมากมาย ระบุว่า การที่เยาวชนและพลเมืองของชาติจะมีคุณภาพ และศักยภาพสูง ต้องได้รับ “การศึกษาที่เป็นการเรียนรู้” (มิใช่ จากการเรียนการสอนความรู้ หรือ การถ่ายทอดความรู้ ที่ครู หรือคนส่วนมาก “คิดว่าเป็นการศึกษา”) ซึ่งการศึกษาที่แท้จริงนั้น มาจากปัจจัย ๓ ประการ คือ ๑. ความชัดเจนจากนโยบายของรัฐ ๒. มีโรงเรียนหรือสถาบันทางการศึกษาที่เอื้อต่อการเรียนรู้ ๓. มีครูที่รู้จัก “การวางเงื่อนไขการเรียนรู้ (Conditions of Learning)” หรือ “ผู้จัดการเรียนรู้”
.
๑. ความชัดเจนจากนโยบายของรัฐ การศึกษาที่ล้มเหลวมักมาจากนโยบายของรัฐ ทั้งนิตินัย และพฤตินัยในแต่ละปี หรือแต่ละยุค โดยเปลี่ยนไปมาตามรัฐมนตรี หรือผู้บริหารระดับประเทศ ไม่ยอมทำตามหลักสูตรหรือแผนพัฒนาประเทศจริงๆ เช่น บางยุคต้องการให้นักเรียนจบมาเพื่อรับราชการ บางยุคต้องการให้นักเรียนมีคุณธรรมจริยธรรมสูง บางยุคต้องการให้นักเรียนมีคุณภาพเทียบเท่าสากล บางยุคต้องการให้นักเรียนเรียนหนังสืออย่างเดียว ห้ามยุ่งกับการเมืองการปกครองของรัฐโดยเด็ดขาด บางยุคไปเน้นกิจกรรมปลูกฝังค่านิยม บางยุคไปเน้นประวัติศาสตร์-หน้าที่พลเมือง บางยุคไปเน้นการพัฒนาอาคารสถานที่ สื่อเทคโนโลยี ฯลฯ ซึ่งความต้องการของผู้บริหารระดับประเทศ หรือกระทรวงเหล่านี้ ควรเป็นตัวเสริม ไม่ใช่ตัวหลักแต่อย่างใด
.
เพราะตัวหลักที่สำคัญที่สุดลำดับแรก คือ การพัฒนาความรู้ ทักษะ สมรรถภาพนักเรียน “เกิดการเรียนรู้” ให้เป็นไปตามหลักสูตรที่กำหนดไว้ ดังนั้น การจัดการศึกษาที่มีเป้าหมาย และนโยบาย “ให้เกิดการเรียนรู้” จึงจะทำให้ได้พลเมืองที่มีทักษะความสามารถ มีสมรรถภาพอย่างแท้จริง มาช่วยกันพัฒนาสังคมและประเทศชาติเจริญก้าวหน้ามั่นคงสืบต่อไป
.
๒. มีโรงเรียนหรือสถาบันทางการศึกษาที่เอื้อต่อการเรียนรู้ ประเทศ หรือสังคมที่พัฒนาก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง มักมีโรงเรียนที่เน้นคุณภาพการศึกษาเป็นลำดับแรก ซึ่งได้มีผู้รวบรวมผลการวิจัยสถาบันทางการศึกษาที่มีชื่อเสียงด้านการจัดการศึกษาของประเทศต่างๆ เช่น ประเทศฟินแลนด์มีชื่อเสียงการจัดการศึกษาระดับอนุบาล-ประถมศึกษา, ประเทศเยอรมันมีชื่อเสียงการจัดการศึกษาระดับมัธยมศึกษาและวิศวกรรม, ประเทศสหรัฐอเมริกามีชื่อเสียงการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษา, ประเทศญี่ปุ่นมีชื่อเสียงการจัดการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์, ประเทศอินเดียมีชื่อเสียงการจัดการศึกษาด้านบัญชีและคอมพิวเตอร์ ฯลฯ พบว่า โรงเรียนหรือสถาบันทางการศึกษาที่จะมีคุณภาพเยี่ยมยอด ช่วยเหลือให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ จนสามารถพัฒนาศักยภาพสู่ความเป็นเลิศได้นั้น มักมีลักษณะสอดคล้องกัน (โรงเรียนในฝัน) ดังนี้
.
ได้แต่หวังว่า โรงเรียนหรือสถาบันทางการศึกษาที่เอื้อต่อการเรียนรู้ในฝันของผมแบบนี้ เพื่อนครูคงช่วยกันสร้างขึ้นมาให้มีมากมายในสังคมไทยอย่างกว้างขวางทั่วประเทศนะครับ
.
๓. มีครูที่รู้จัก “การวางเงื่อนไขการเรียนรู้ (Conditions of Learning)” หรือ “ผู้จัดการเรียนรู้”
คุณภาพจากการจัดการศึกษาที่เราอยากสร้างให้กับเด็ก คือ ความสามารถที่จะใช้สติปัญญา เพื่อแก้ปัญหาของตัวเอง บุคคล และสังคมที่เกี่ยวข้องในอนาคต แต่...คุณภาพข้อนี้เป็นจุดอ่อนทางการศึกษาของเรามาโดยตลอด ทำให้สังคมไทยส่วนมากอ่อนแอทางสติปัญญา ไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับคนไทย ที่จะยืนอยู่ได้ด้วยตนเอง สร้างแต่นิสัยและพฤติกรรมพึ่งพาผู้อื่นมากกว่าที่จะพึ่งตนเอง ดีที่สังคมไทย คนไทยยังมีหลักแนวคิดทางพระพุทธศาสนาอยู่บ้าง จึงพอเอาตัวรอดได้ (ฝรั่งได้เปรียบคนไทยตรงที่ เขามีวิถีทางที่จะแสวงหาความรู้และพัฒนาความรู้ได้มากกว่าคนไทย แต่ฝรั่งเสียเปรียบคนไทย ที่ต้องเสียเวลาใช้สมอง กำลังกาย กำลังใจ กำลังทรัพย์ ต่อสู้เพื่อเสรีภาพทางศาสนาเป็นเวลาหลายชั่วอายุคน และต้องหลงอยู่กับความเข้าใจผิดในเรื่อง “ดี-ชั่ว-บาป” หลายศตวรรษเช่นกัน)
.
นักการศึกษาในยุคปฏิรูปนี้มักพูดกันมากว่า “อัจฉริยภาพทางความคิด” เป็นเป้าหมายสำคัญของคุณภาพการศึกษา เป็นจุดหมายปลายทางที่หลักสูตรกำหนดเป็นมาตรฐานคุณภาพที่ทุกโรงเรียนต้องฝึกฝนให้เด็กมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ คิดสังเคราะห์ มีวิจารณญาณ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นการบ้านข้อใหญ่ที่สุดของคนเป็นครู ทำอย่างไรเราถึงจะปลูกฝังสร้างสติปัญญาให้เกิดขึ้นในตัวเด็กๆได้ ทั้งนี้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และวิจัยจะเป็นกระบวนการหนึ่ง ที่มีส่วนช่วยให้เด็กของเราเติบโตด้านการศึกษา โดยการฝึกฝนให้เด็กรู้จักการเรียนรู้จากการสังเกตต่อปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในตัวของเขาเองและสิ่งแวดล้อมภายนอก และอีกกระบวนหนึ่ง คือ กระบวนการทางพระพุทธศาสนา โดยการฝึกให้เด็กรู้จักฝึกกาย ใจให้สงบนิ่ง ตั้งใจดู และพิจารณาความรู้สึก อารมณ์ ความคิดที่เกิดในใจ ซึ่งก็คือแนวทางของศีล สมาธิ ปัญญา นั่นเอง
.
แต่...ในโลกที่มีความรู้มากมาย กว้างใหญ่ ไพศาลเหลือคณานับ บทบาทใหม่ที่เราเป็นครูแห่งยุคสมัยต้องปรับเปลี่ยน คือ การฝึกวิธีหาความรู้ที่หลากหลายให้แก่เด็ก ๆ เพื่อให้เขามีความสามารถในการเรียนรู้ ได้อย่างไม่มีข้อจำกัดในยุคเทคโนโลยี สารสนเทศ(ไอที) ซึ่งเราต้องเข้าใจว่าไอที จะเข้ามาแทนที่ครูไม่ได้ แต่จะช่วยให้ครูมีโอกาสเปลี่ยนวิธีสอนจากการบอกความรู้ ไปสู่การให้เด็กเป็นผู้แสวงหาความรู้ด้วยตัวเองได้มากขึ้น นี่คือบทบาทอีกประการหนึ่งที่เราต้องพัฒนาขึ้น
.
โรงเรียนทั่วๆ ไปมักมองข้าม และละเลยที่จะปลูกฝังให้เด็กๆ มีความรักความเมตตาต่อผู้อื่น และสรรพสิ่งรอบตัวได้อย่างแท้จริง การปลูกฝังให้ความรักเจริญงอกงามในจิตใจ ไม่สามารถทำได้ด้วยการบรรยายในชั้นเรียน แต่ด้วยการจัดบรรยากาศ การปฏิบัติต่อกัน และกิจกรรมหลากหลาย ให้เด็กได้ลงมือกระทำจริง น้ำทุกหยดที่เด็ก ๆ รดไปยังต้นไม้ที่เขารับผิดชอบ คือปฏิบัติการแห่งความรักที่สำคัญมากทีเดียว ขยะทุกชิ้นไม่เพียงแต่จะทำให้โรงเรียนสะอาดเท่านั้น แต่มันหมายถึงจิตใจที่สามารถจะรักผู้อื่นด้วย
.
อีกสิ่งหนึ่งที่เพื่อนครู ไม่ควรมองข้าม คือ การฝึกฝนคุณลักษณะพื้นฐานที่จะช่วยให้เด็กๆ เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่มีพฤติกรรม บุคลิกภาพที่เข้าได้ทุกสังคม (รู้จักกาลเทศะบุคคล) รวมทั้งการฝึกฝนให้เด็กมีทักษะพื้นฐานในการทำงานที่ช่วยให้สามารถประกอบการงานอาชีพพึ่งตนเองได้ในอนาคต จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นที่ต้องปลูกฝังให้กับเด็ก และไม่ควรหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบแต่อย่างใด
.
ทั้งหมดที่กล่าวมา จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเพื่อนครู “ปรับการเรียน เปลี่ยนการสอน” เป็น “การจัดการเรียนรู้” ให้ได้ ตัวผมเองก็ผ่านทั้งความสำเร็จและล้มเหลวในความพยายามจะช่วยเหลือพัฒนาให้เด็กมีคุณภาพและศักยภาพในการเรียนรู้มาตลอด แต่...มีสิ่งหนึ่งที่ผมยึดไว้เป็น “หลักการ”จึงช่วยทำให้ผมแก้ไขปรับปรุงวิธีการจัดการเรียนรู้ได้เร็วขึ้น หลักการนั้น คือ ผมเชื่อว่า...ทุกอย่างจะเริ่มต้นได้มั่นคง จะต้องมี “ความพร้อมทางความคิด” หรือ "จุดยืน" นั่นเอง
.
ความพร้อมที่จะช่วยให้เพื่อนครูประสบความสำเร็จใน “การจัดการเรียนรู้” ได้ คือ
๑. ความพร้อมด้านแนวคิด จุดยืน การที่เพื่อนครูจะมีแนวคิดจุดยืนที่ชัดเจน เพื่อนครูลองตอบคำถามต่อไปนี้ให้ชัดเจน พยายามตอบคำถามตัวเองจนเพื่อนครูพอใจในคำตอบนั้นๆ เพื่อนครูก็จะมีแนวคิดจุดยืนที่ชัดเจน หรือจะเรียกว่า การพยายาม “นิยาม” ความหมายของสิ่งต่อไปนี้
1. ที่เราเรียกว่า “การศึกษา” นั้น ที่เพื่อนครูคิดหรือเชื่อ มันหมายถึงอะไรกันแน่
2. จุดหมายปลายทางของการจัดการศึกษาของเพื่อนครู คืออะไร มีอะไรบ้าง
3. จุดหมายปลายทางของการจัดการศึกษาที่เพื่อนครูคิดไว้ จะช่วยแก้ไข พัฒนาคุณภาพชีวิตคนในสังคมหรือโลกในปัจจุบันให้เป็นจริงได้อย่างไร
.
เมื่อเชื่อว่าได้คำตอบที่ชัดเจน และเพื่อนครูเชื่อว่า เป็นคำตอบสุดท้ายแล้ว เพื่อนครูก็ลองหาความหมายของคำว่า... ครู นักเรียน โรงเรียน หลักสูตร การเรียน การสอน คืออะไร สอดคล้องกับคำตอบที่เพื่อนครูตอบ 3 ข้อข้างต้นนั้นหรือยัง ถ้าเพื่อนครูให้คำตอบที่สอดคล้องเป็นไปในทิศทางเดียวกัน แสดงว่าแนวคิดของเพื่อนครูชัดเจนแล้ว ถ้ายังไม่สอดคล้องคำตอบไปคนละทิศละทาง แสดงว่า...เพื่อนครูยังไม่สามารถสร้างแนวคิดที่ชัดเจนขึ้นมาได้ เพื่อนครูก็ลองคิดใหม่ๆไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ได้ และเข้าใจเองในที่สุดครับ
.
๒. ความพร้อมด้านการยอมรับ เพื่อนครูต้องเชื่อว่า หลักการ จุดหมาย ในการจัดการศึกษาตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 ของกระทรวงศึกษาธิการที่กำหนดว่า “การศึกษา คือ การเรียนรู้” เป็นแนวทางที่ถูกต้อง สอดคล้องกับสภาพการณ์ของโลกยุคปัจจุบัน
สรุปง่ายๆ เพื่อนครูต้องยอมรับความสำคัญของหลักสูตร และทำใจปฏิบัติตามแนวทางของหลักสูตรที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนดขึ้นได้หรือไม่ ? ตรงนี้สำคัญมาก เพราะถ้าเพื่อนครูไม่ยอมรับและทำตามหลักสูตรดังกล่าว ก็เท่ากับว่าเพื่อนครูจะสร้างความล้มเหลวในการทำงาน และสร้างความทุกข์ให้กับตัวเองไปตลอดเวลาที่ทำงานในโรงเรียน
.
เพราะ...เมื่อเพื่อนครูไม่เข้าใจและยอมรับว่า “การศึกษาควรเป็น การเรียนรู้” แต่...เพื่อนครูยังเชื่อแบบเดิมว่า การจัดการศึกษาที่ถูกต้องและดีที่สุด ควรเป็นการเรียนการสอน การจัดการศึกษาของเพื่อนครูจึงล้มเหลว ดูตัวอย่างข้อทดสอบแห่งชาติ (o-net) เขาสร้างแบบทดสอบเพื่อวัด “การเรียนรู้ตามหลักสูตรและตัวชี้วัด” แต่...เพื่อนครูส่วนมาก ยังสอนความรู้-ความจำจากหนังสือแบบเรียน ผลการทดสอบแห่งชาติ (o-net) จึงไม่สัมฤทธิผลเป็นไปตามที่เพื่อนครูหวังไว้
.
ที่จริงคำว่า “การเรียนรู้” แม้เป็นคำใหม่ แต่ถ้าพิจารณาความหมายที่นักวิชาการนิยามไว้ ก็ไม่ใช่สิ่งใหม่แต่อย่างใด มีคำเก่าแก่ที่เหมือนกันในแง่วิธีการ คือ คำว่า “การฝึก” (การเรียนรู้ หมายถึง เมื่อได้รู้ หรือลงมือทำ แล้วทำให้เกิดการความเข้าใจอย่างแท้จริง จนมีผลเปลี่ยนแปลงทางทัศนคติ ความคิด จิตใจ อารมณ์ พฤติกรรม บุคลิก วิถีชีวิต แสดงว่า เกิดการเรียนรู้แล้ว )
.
ตามหลักการศึกษา และจิตวิทยาการศึกษา ต่างกล่าวว่า....การเรียนรู้ จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมนุษย์มีประสบการณ์จากการทำหรือปฏิบัติ จนเกิดความเข้าใจและตระหนักแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใดอย่างหนึ่งกับชีวิตตนเอง ซึ่งผมเชื่อว่าเพื่อนครูที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาเด็ก หรือเพื่อนครูที่มีประสบการณ์ในการเป็นครูมานาน มักจะค้นพบในที่สุดว่า เด็กจะเข้าใจในสิ่งที่เรียน ที่เกิดจาก “การฝึก” มากกว่า “การสอน หรือ การชี้แนะ” จริงๆ ก็แสดงว่า ตัวครูเองเกิดการเรียนรู้แล้วนั่นเอง
.....
ผมเชื่อว่า เมื่อเพื่อนครูนำคำตอบที่ได้จากความพร้อมด้านแนวคิดจุดยืนของข้อ ๓ จริงๆ มาพิจารณาเทียบเคียงกับหลักการ จุดหมายของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ จะเห็นว่าสอดคล้องกันทุกประการแน่นอนครับ
.
คราวนี้ เพื่อนครูจะยอมรับหรือยังว่า คุณลักษณะของเด็กในปัจจุบัน ควรเป็นการเรียนรู้ที่ได้จากการฝึกปฏิบัติอย่างเป็นระบบ มีขั้นตอนที่เชื่อถือหรือถูกต้อง มิใช่ เกิดจากการสอนหรืออธิบายชี้แนะในหนังสือเรียนเป็นหลักเหมือนที่ผ่านมา ถ้าเพื่อนครูยอมรับและเชื่อมั่นตามนี้ ก็ถือว่า...เพื่อนครูพร้อมที่จะเป็น “ครูสร้างเงื่อนไขแห่งการเรียนรู้ หรือ ผู้จัดการเรียนรู้” สามารถจัดการศึกษาที่แท้จริงให้กับเด็กได้แล้วครับ
อ่านบทความอาจารย์แล้วมีความสุข มีแนวทางที่จะปลูกต้นกล้าแห่งความหวัง
จะพยายามคูแลต้นกล้านี้ให้เจริญเติบโตเพื่อนำไปต่อยอดในชั้นเรียนค่ะ
ขอบคุณคุณครูศิริลักษณ์ แทนเด็กและสังคมไทยที่คุณครูตั้งใจทำเพื่อพวกเขาครับ
ขอบคุณคุณครูศิริลักษณ์ แทนเด็กและสังคมไทยที่คุณครูตั้งใจทำเพื่อพวกเขาครับ