ผมเป็นผู้เรียนรู้ของหลายศาสนา


ผมเป็นผู้เรียนรู้ของหลายศาสนา จะเรียกว่าผมนับถือหลายศาสนาก็ได้ แต่จะเรียกว่านับถืออย่างเป็นทางการก็คงไม่ได้ เพราะผมไม่ได้ผ่านพิธีการของแต่ละศาสนาที่ผมเรียนรู้ ด้วยเหตุนี้ผมจึงแทนตัวเองว่าเป็น "ผู้เรียนรู้" ครับ

ผมเชื่อว่าการที่จะเลือกนับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่งโดยไม่ศึกษาศาสนาอื่นเลยนั้นเป็นการเสียโอกาสอย่างยิ่ง เพราะการที่ศาสนาใดๆ มีคนนับถือผ่านเวลามาเป็นพันๆ ปีได้นั้น ย่อมแสดงว่าศาสนานั้นต้องมีอะไรดีแน่นอน เพราะเป็นไปไม่ได้ที่สิ่งที่ไม่ได้เรื่อง หรือไม่มีประโยชน์ หรือเข้าใจผิด จะยืนยงผ่านกาลเวลามาได้เป็นพันๆ ปีครับ

แต่ในโลกนี้ผู้คนส่วนใหญ่จะเลือกเรียนรู้เพียงศาสนาเดียว ซึ่งก็เป็นสิทธิ์และความชอบของแต่ละบุคคล ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร เป็นสิ่งที่ดีเสียอีก เรียกว่าจะนับถือศาสนาใดก็ได้ ล้วนแล้วแต่ดีทั้งนั้น ย่อมดีกว่าการไปนับถือสิ่งที่ไม่ได้พิสูจน์ผ่านกาลเวลาเป็นพันๆ ปี อาทิเช่น ลัทธิทุนนิยม ลัทธิสังคมนิยม ลัทธิคอมมิวนิสต์ ฯลฯ ที่ผ่านการศึกษาและปฎิบัติเพียงหลักร้อยกว่าปีหรือน้อยกว่า

แต่คนบางคนกลับไปไกลยิ่งกว่านั้น คือการเลือกนับถือศาสนาเดียวแล้วดูถูกศาสนาอื่น เรื่องนี้เป็นเรื่องอันตรายและเป็นสาเหตุของปัญหาต่างๆ ในโลกนี้ ถ้าจะนับดูแล้วเรื่อง "ศาสนาฉันดีกว่าศาสนาเธอ" คือเหตุผลหลักของความวุ่นวายเกือบทุกอย่างที่มีมาในประวัติศาสตร์มนุษยชาติทีเดียวครับ

อย่างที่ผมกล่าวข้างต้นนั่นละครับ ศาสนาที่ผ่านเวลามาได้เป็นพันๆ ปีต้องมีอะไรดี ถ้าไม่มีอะไรดีก็ย่อมผ่านกาลเวลามาไม่ได้ เพราะผู้คนในโลกนี้ไม่ได้โง่ เรามีวิจารณาณที่จะบอกได้ว่าอะไรดีหรืออะไรไม่ดี คนหนึ่งคนอาจจะหลงผิดได้ แต่คนหลายๆ คนและหลายชั่วคนย่อมไม่ผิดแน่นอน

ดังนั้นแทนที่เราจะเลือกศาสนา เราไม่เลือกจะดีกว่า แต่เราขุดเพชรในแต่ละศาสนาแล้วนำ "เพชร" หรือองค์ความรู้เหล่านั้นเป็นเครื่องมือในการปฎิบัติให้ชีวิตเราได้อยู่ดีมีความสุขนั้นย่อมจะดีกว่ามาก

ผมได้เรียนรู้ในหลายๆ ศาสนาผ่านสื่อต่างๆ อย่างมีความสุข เพราะการมีชีวิตอยู่ในโลกปัจจุบันนั้นดีมาก เพียงแค่เปิดเครื่องคอมพิวเตอร์เราก็มีโอกาสเข้าถึงข้อมูลต่างๆ มากมายให้เลือกทั้งตัวอักษรและทั้งวิดีโอ ในส่วนหนังสือนั้นมีเพียง Amazon Kindle เพียงเครื่องเดียว (หรือโปรแกรมเดียว สำหรับคนใช้ iPad หรือ Android Tablet) ก็อ่านหนังสือได้ทุกเล่ม เรียกได้ว่าไม่มียุคไหนในประวัติศาสตร์ที่เราจะสามารถเข้าถึงหลักคำสอนของศาสนาต่างๆ ได้อย่างสะดวกเช่นนี้อีกแล้วครับ

ที่จริงแล้วในฐานะผู้เรียนรู้นั้น Kindle มีส่วนช่วยผมมาก เพราะข้อมูลเกี่ยวกับศาสนาที่เขียนวิเคราะห์ได้อย่างลึกซึ้งนั้นส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบหนังสือ แล้ว Kindle ทำให้เราเข้าถึงหนังสือเหล่านั้นได้ภายใน "60 วินาที" ตามคำโฆษณาของเขาจริงๆ

สิ่งที่น่าสนใจจากการอ่านข้อเขียนของหลายๆ ศาสนาคือการได้รู้ว่าที่จริงแล้ว "ทุกศาสนาสอนเรื่องเดียวกัน"

แน่นอนครับ คำสอนของศาสนาแต่ละศาสนานั้นจะมีแก่นกับกระพี้ ซึ่งในส่วนของกระพี้นั้นย่อมแตกต่างกันมาก แม้ในศาสนาเดียวกันยังแตกต่างกันเป็นค่ายเป็นนิกายมากมาย แต่ในส่วนแก่นนั้นไม่ได้ต่างกันเลย

ผมคิดว่าการเรียนรู้เพียงศาสนาเดียว หรือเพียงนิกายเดียวของศาสนานั้น อาจจะทำให้เราแยกระหว่างแก่นกับกระพี้ไม่ออก แต่การได้ศึกษาหลายศาสนากลับจะทำให้เราเห็นแก่นของศาสนาชัดขึ้น

การได้เรียนรู้ "แก่น" นี่เป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะทำให้เราได้รู้ว่าเรากำลังเดินตามภูมิปัญญาโบราณของมนุษยชาติที่พัฒนาขึ้นมาเป็นพันๆ ปีเพื่อเข้าถึงความสุขที่แจ้งจริง ดังนั้นโอกาสที่เราจะหลงทางนั้นย่อมเป็นไปได้ยากขึ้น

ผมเองก็จะยังศึกษาต่อไป ที่จริงผมคิดว่าจะเอาหนังสือที่ได้อ่านมาแบ่งปันต่อก็ไม่ได้ทำเสียที ก็ผมใช้เวลาไปอ่านหนังสือเล่มต่อๆ ไปเสียแล้วนี่ครับ แค่วันสองวันนี้ผมเองมีหนังสือที่เจอว่าน่าอ่านแล้วสามเล่ม

อ่านจบสามเล่มนี้แล้วก็คงค้นหาต่อเพื่อศึกษาต่อไป หากท่านที่สนใจที่จะมองข้ามกำแพงของศาสนาก็ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้วยกันนะครับ

หมายเลขบันทึก: 486258เขียนเมื่อ 27 เมษายน 2012 11:44 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 มิถุนายน 2012 17:00 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

เช่นกันค่ะอาจารย์ "เรียนรู้หลายศาสนา"....ปัจจุบันโลกเราไร้พรหมแดนทั้งในมิติของเทคโนโลยีและอื่นๆ ดูราวกับการอยู่ร่วมในสังคมที่ต่างความเชื่อ ต่างศาสนาก็จะทำให้มีโอกาสเรียนรู้ซึ่งกันและกันด้วยเจตนาดี.. ในส่วนตัวเห็นว่า..กัลยาณมิตรเป็นช่องทางหนึ่งในการเรียนรู้ ถึงเแม้ว่าจะไม่ถึงแก่น แต่ก็ทำให้เห็นความคิด และศรัทธาที่ผ่านเป็นการปฏิบัติ อย่างเช่นในสังคมพหุวัฒนธรรม ภาคใต้ตอนล่างที่ปัจจุบันทำงานอยู่ ครั้งหนึ่งหัวข้อเรื่องศรัทธา ความเชื่อในเรื่องนี้ได้นำมาพูดคุยกันในกลุ่มเพื่อนต่างชาติ เมื่อถูกถามว่า นับถือศาสนาอะไร คำตอบที่ได้บ้างก็ตอบว่า "I'm a freethinker" เลยแลกเปลี่ยนกันได้นานเชียวค่ะ

ที่จริงแล้วผมเองจะบอกว่าเข้าใจถึงแก่นก็อาจจะเกินไปครับ แต่ก็เห็นภาพชัดขึ้นตามลำดับว่าแก่นน่าจะอยู่ทางไหนและทิศทางใดครับ สิ่งที่พอเห็นนั้นบอกได้ว่าทุกศาสนาไม่ต่างกันเลยครับ

...น่าเสียดาย..โอกาศ..ของคน..ใน..สมัยใหม่..(การเรียนรู้)..ที่ถูกนำไปใช้เฉกเช่น..ยุคเก่า...(ครอบงำความคิด..ศาสนาบวกการเมืองบวกอำนาจบวกผลประโยชน์..บวกความเลื่อมล้ำต่ำสูง..ดังเช่นยุคมืด..ที่ผ่านมา..)..."สิ่งที่มนุษย์สร้างสรรค์..จึงเป็นมีดสองคม..อยู่ในเวลานี้..."..เป็นต้นว่า..ความสว่าง..ที่ได้จากการค้นคิดด้านเทคนิค.เป็นพลัง.ส่องสว่างไปทั่วโลก..แต่ไม่ได้ส่องให้เห็นภายใน..ของคน..(ใจจึงมืดมิด..เหมือนเดิม)...พลังงานจากการสร้างสรรค์..กำลังทำลาย..สิ่งแวดล้อมดีๆที่มีอยู่..ให้วินาศเป็นจุลไป..อย่างรวดเร็ว..."อย่างที่เป็นอยู่เวลานี้"....มีคำว่า..ศาสนาเป็นเครื่องค้ำจุลโลก..ได้"ทุกศาสนา".(หากไม่พยายามตั้งตนเป็นศาสดาฤาพระเจ้า....ยายธี...)

 

 

- การได้เรียนรู้ "แก่น" นี่เป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะทำให้เราได้รู้ว่าเรากำลังเดินตามภูมิปัญญา....เป็นการ ส่งเสริมการเรียนรู้....ผ่านกระบวนทางศาสนา....เป็นรูปแบบการเรียนที่ดีแบบหนึ่งนะค่ะ

- การเรียนรู้...ไม่มีที่สิ้นสุด....จริงๆ

- ขอบคุณค่ะ

 

ทำให้นึกถึงเมื่อก่อนที่ตนเอง...เป็นจำพวก แอนตี้ศาสนา...ใครถามว่านับถือศาสนาอะไร ก็จะตอบว่าพุทธตามกำเนินแต่ใจไม่สนใจ จากนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาศึกษาเรื่องจิตใจ 

เรียนรู้เรื่องจิตใจอย่างเดียวอย่างไม่สนใจในพิธีการหรือพิธีกรรมใดใด

เรียนไปเรียนมาจึงได้มาตื่นรู้ว่า ... ความสนใจและสิ่งที่ได้เจอในจิตใจตนเองมันไปตรงกับสิ่งที่พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบและมีการบันทึกไว้

...

เมื่อก่อนชอบเรียกตนเอง "คนนอกศาสนา" 

Large_zen_pics_007 

ผมชอบอ่านหนังสือของ Thich Nhat Hanh ครับ จำไม่ได้ว่าเล่มไหนแล้วที่เขียนไว้ดีมากว่า ท่านไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงคนมานับถือศาสนาพุทธ เพราะคนเราเกิดมานั้นเติบโตอยู่ในวัฒนธรรมของศาสนาหนึ่งๆ ที่จะเข้าถึงได้ลึกซึ้งและติดตัวไปตลอดชีวิต

ผมเองเติบโตมาในสังคมพหุวัฒนธรรมและหลากหลายศาสนาจริงๆ ครับ แม้ตอนเด็กๆ บ้านจะอยู่ใกล้วัด แต่ก็มีช่วงหนึ่งที่ต้องไปอยู่บ้านอีกหลังใกล้โบสถ์คริสต์หลายปี มาเรียน มอ. ก็มีเพื่อนมุสลิมไม่น้อยที่กินนอนด้วยกัน ตอนไปเรียนต่ออาจารย์ที่ปรึกษาผมเป็น Catholic Minister พื้นเพผมอย่างนี้ทำให้ผมศึกษาเพียงศาสนาเดียวไม่ได้ครับ

ผมเคยมีเพื่อนเป็นนักท่องเที่ยวมาจากสวีเดน เป็นพวกที่มาพร้อมเป้สะพายหลังใบเดียวไม่มีเงินพอจ่ายค่าโรงแรมมาขอพักอยู่ด้วย ซึ่งตอนนั้นกำลังเรียนอยู่แล้วก็อยู่แฟลตกับเพื่อนหลายคนเลยไม่มีปัญหาอะไร เวลาที่คุยกันพวกเราเคยถามเหมือนกันว่ายูนับถือศาสนาอะไร ก็ได้รับคำตอบว่าเขาไม่ได้นับถือศาสนาอะไร (Irreligion) แต่เท่าที่แลกเปลี่ยนความเห็นกัน ตาคนนี้แกมีความรู้ในเรื่องของศาสนาต่างๆค่อนข้างมาก แม้แต่ศาสนาพุทธของเราบางเรื่องยังรู้ดีกว่าพวกเราเสียอีก

แต่ที่น่าสนใจก็คือการปฏิบัติตัวของเขา ทั้งในเรื่องของคุณธรรม การเคารพและให้เกียรติคนอื่น การให้เกียรติสุภาพสตรี การเคารพกฎหมาย กฏเกณฑ์ของสังคม ทำได้ดีกว่าเราๆท่านๆมากมายเลยครับ

เคยได้ยินคนเก่าๆพูดเสมอว่า คนที่ไม่มีศาสนา เป็นคนไม่ดี ไม่มีศีลธรรม ฯลฯ แต่พอเจอเข้ากับตัวก็เลยต้องคิดใหม่

ไม่ทราบนะครับ ผมเองก็ถือว่าเป็นพุทธศาสนิกชนคนหนึ่ง แต่เวลาที่เห็นว่ามีการดันให้พุทธศาสนาเป็นอะไรที่สูงส่งเกินจริง เป็น Unique เป็นความดีงามเฉพาะที่จะแตะต้องลบหลู่ไม่ได้ จนถึงกับต้องตรามาเป็นกฎหมายบังคับ..อย่างเช่น..

ร่าง พ.ร.บ.อุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ซึ่งกำลังเป็นที่ถกเถียงกันและมีผู้ไม่เห็นด้วยเป็นจำนวนมาก

การเรียกร้องให้มีการระบุศาสนาไว้ในบัตรประจำตัวประชาชนอีกครั้ง หลังจากที่กระทรวงมหาดไทยตัดออกไป

การเรียกร้องให้บรรจุพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญ ฯลฯ

เพราะผมไม่เชื่อว่ามันจะทำให้คนเราดีขึ้นด้วยวิธีนี้ครับ

หลายประเทศเขาเห็นว่าสิ่งที่สำคัญคือต้องแยกระหว่าง "church" กับ "state" ออกจากกันให้เด็ดขาดครับ เขาไม่มีแม้กระทั่งวันหยุดทางศาสนา แต่หลายประเทศ "รัฐ" ก็คือ "ศาสนา" ผมสังเกตว่าประเทศเหล่านี้ก็จะมีปัญหาเยอะมาก ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดก็น่าจะเป็น ประเทศอิสราเอล

ในความคิดผมแล้วกฎหมายต่างๆ ที่จะคุ้มครองศาสนาพุทธในประเทศไทยนั้นมีแต่ผลเสียไม่มีผลดีครับ อย่างแรกสุดก็คือเราจะเห็นเหตุการณ์ในภาคใต้รุนแรงขึ้นอย่างมากครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท