จีนมอง “ไท่กั๋ว” อย่างไร


แท้จริงแล้ว จีนมองไทยอย่างไร ไทยอยู่ในสถานะอะไรในสายตาจีน และที่สำคัญ เมื่อวิเคราะห์นัยและอ่านใจฝ่ายจีนได้แล้ว รัฐบาลไทยควรจะบริหารจัดการความสัมพันธ์กับจีนอย่างไร เพื่อให้สมศักดิ์ศรีไทยแลนด์แดนสยามของเรา

โดย ดร.อักษรศรี  (อติสุธาโภชน์) พานิชสาส์น

คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

คอลัมน์ “มองจีนมองไทย” กรุงเทพธุรกิจ  หน้า 12 วันที่ 26 เมษายน 2555

เมื่อวันที่ 17-19 เมษายนที่ผ่านมา ดิฉันได้มีโอกาสร่วมเดินทางไปกับคณะรัฐบาลและภาคธุรกิจไทย เพื่อเยือนประเทศจีนอย่างเป็นทางการ  ณ กรุงปักกิ่ง และมหานครเทียนจิน ในบรรยากาศที่แสนคึกคักและชื่นมื่น ซึ่งนับเป็นอีกครั้งที่มีการ“ยกคณะใหญ่”ของไทยไปเยือนจีน มีทั้งนายกรัฐมนตรี  นักการเมืองระดับรัฐมนตรีว่าการและรัฐมนตรีช่วยฯ อีกร่วม 10 คน  รวมไปถึงข้าราชการการเมือง ข้าราชการประจำและภาคเอกชน รวมทั้งสิ้นเกือบ 200 คน มีทั้งกลุ่มที่เดินทางไปล่วงหน้าเพื่อเตรียมงานและกลุ่มที่เดินทางไปกับเที่ยวบินพิเศษพร้อมนายกรัฐมนตรี

คณะผู้ร่วมเดินทางระดับบิ๊กจากไทยจำนวนไม่น้อยที่ดิฉันได้พูดคุยด้วยบนเที่ยวบินพิเศษที่ไปด้วยกันต่างมองว่า จีนเป็นตลาดใหญ่และเป็นโอกาสทองทางด้านเศรษฐกิจสำหรับไทย โดยเฉพาะหลายคนรู้สึกตื่นเต้นกับการผงาดขึ้นของจีนจนมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกในเวลาอันรวดเร็ว

แม้จะดีใจที่ภาครัฐและเอกชนไทยต่างตื่นตัวหันมาให้ความสำคัญและสนใจคบหาสมาคมและคบค้ากับจีนมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด  รวมทั้งสื่อไทยต่างก็ประโคมข่าวผลการเดินทางไปเยือนจีนของรัฐบาลไทยในครั้งนี้  อย่างไรก็ดี ในฐานะนักวิชาการไทยที่เกาะติดพัฒนาการความสัมพันธ์เศรษฐกิจไทย-จีนมานาน และติดตามผลการเดินทางไปเยือนจีนของรัฐบาลไทยมาหลายยุคหลายสมัย ดิฉันมีข้อคิดเห็นบางประการค่ะ

บทความในวันนี้ จึงจะขอเน้นให้ข้อสังเกตสิ่งที่น่าจะสะท้อน สถานะของไทย ในสายตาจีน  โดยวิเคราะห์จากท่าทีและคำกล่าวของผู้นำฝ่ายจีนในการเรียก“ไท่กั๋ว” (Tai Guo) หรือ ประเทศไทย รวมทั้งเนื้อหาที่สื่อต่างๆ ของจีนนำเสนอข่าวการเดินทางไปเยือนจีนของนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทยในครั้งนี้

สิ่งแรกที่น่าสังเกต ในการต้อนรับผู้มาเยือนจากไทยรอบนี้ นายกรัฐมนตรีของจีนไม่ได้เรียกประเทศไทยว่า “มิตรเก่าแก่” หรือ เหล่าเผิงโหย่ว  แต่กลับใช้คำเรียกว่า “มิตรที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้” (a trusted friend )  ทำให้ดิฉันต้องสะดุดกับคำเรียกนี้  และอดตั้งคำถามไม่ได้ว่า เหตุใดฝ่ายจีนต้องย้ำและแสดงให้เห็นว่า  การเป็นแค่เพื่อนเฉยๆ หรือเพื่อนที่คบหากันมายาวนาน กลับไม่เพียงพอสำหรับจีนในบรรยากาศการเมืองภูมิภาคในขณะนี้   แต่จะต้องเป็น “เพื่อนที่ (จีน) เชื่อใจได้” ด้วยค่ะ

แม้ดิฉันจะเป็นนักเศรษฐศาสตร์และไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านรัฐศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ  แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า  ฝ่ายจีนต้องการจะสะท้อนอะไรในการเรียกไทยเช่นนี้   เพราะดูเสมือนว่า จีนกำลังจะแยกจัดประเภทออกเป็นกลุ่ม “มิตรที่เชื่อใจได้” และ “มิตรที่เชื่อใจไม่ได้” เช่นนั้นหรือ 

ที่สำคัญ  บ่อยครั้งของการเอ่ยถึงประเทศไทย  ฝ่ายจีนจะไม่หยุดเพียงแค่เมืองไทยของเรา แต่จะพูดครอบคลุมไปถึงกลุ่มอาเซียนเสมอ  จีนมักจะมองไทยในฐานะเป็นเพียง  1 ใน 10 ประเทศสมาชิกอาเซียนเสมอ  นอกจากนี้ ต้องไม่ลืมว่า ในขณะนี้ บางประเทศในกลุ่มอาเซียนกำลังมีปัญหากรณีพิพาทในทะเลจีนใต้กับฝ่ายจีน โดยเฉพาะเวียดนามและฟิลิปปินส์มีการออกมาประท้วงและแสดงท่าทีไม่พอใจจีนอย่างชัดเจน  ดังนั้น ในบรรดา 10 ประเทศอาเซียน จีนย่อมมีทั้งมิตรที่เชื่อใจได้และเชื่อใจไม่ได้ 

แต่การที่ผู้นำจีนมาเน้นเอ่ยคำเรียกประเทศไทยเช่นนี้  จะเป็นเพราะฝ่ายจีนต้องการตอกย้ำสถานะของไทยในสายตาจีนและพยายาม “ตีกัน” โดยจับให้ไทยเข้าไปอยู่ในกลุ่มมิตรในอาเซียนที่จีนเชื่อใจได้ใช่หรือไม่  รัฐบาลไทยจึงควรจะต้องนำเรื่องนี้ไปคิดและพิจารณาต่ออย่างรอบคอบด้วยว่า  แล้วไทยเราควรจะวางตัวและมีท่าทีอย่างไร โดยเฉพาะท่าทีของไทยที่จะมีต่อเพื่อนอาเซียนอีกหลายประเทศ ซึ่งยังคงมีปัญหาในทะเลจีนใต้กับพี่เบิ้มจีนในขณะนี้  ประเด็นนี้เป็นเรื่องสำคัญและน่าจะมีนัยบางอย่าง จึงต้องขอฝากให้บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านรัฐศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศช่วยนำไปวิเคราะห์ในเชิงลึกต่อไปด้วยนะคะ

ข้อสังเกตอีกด้าน ในขณะที่ สื่อไทยเน้นนำเสนอข่าวผลการเยือนด้านเศรษฐกิจ และสารพัดความตกลงและความร่วมมือไทย-จีน  เช่น มีการลงนามความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลจีน 8 ฉบับ และการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างเอกชนไทย/สมาคมธุรกิจไทย กับเอกชน/รัฐวิสาหกิจจีนในด้านต่างๆ อีก 9 ฉบับ เป็นต้น อย่างไรก็ดี  สื่อของจีนกลับไม่ได้เน้นผลการเยือนด้านเศรษฐกิจมากนัก  แต่หันไปให้น้ำหนักและพูดถึงประเด็นอื่นๆ ที่ไม่ใช่เศรษฐกิจ เช่น การนำเสนอข่าวปัญหาการสังหารชาวจีนในแม่น้ำโขงจนทำให้มีการจับกุมผู้ต้องสงสัยทหารไทย 9 ราย  การนำเสนอภาพข่าวปัญหาน้ำท่วมใหญ่ในไทยจนนายกฯ ไทยต้องเลื่อนการเดินทางเยือนจีนในเดือนธันวาคมปีก่อนและฝ่ายจีนต้องหยิบยื่นให้ความช่วยเหลือไทยจากมหาอุทกภัยครั้งนี้  และข่าวปัญหาความแตกแยกของการเมืองไทยที่มีการแบ่งกลุ่มแบ่งสีต่างๆ รวมไปถึงประเด็นท่าทีของนายกฯ ไทยต่อปัญหาทะเลจีนใต้  เป็นต้น

ดังนั้น มุมมองของจีนต่อไทยจึงไม่ใช่เฉพาะเรื่องของเศรษฐกิจที่สำคัญเป็นอันดับแรก ซึ่งไม่น่าแปลกใจนะคะ   เพราะแท้จริงแล้ว ไทยยังไม่ใช่คู่ค้าหลักของจีนและสัดส่วนการค้ากับไทยยังคงน้อยมากเมื่อเทียบกับการค้ารวมของจีนทั้งหมด และในด้านการลงทุน ไทยก็ไม่ใช่นักลงทุนหลักที่เข้าไปลงทุนในจีน ในทางกลับกัน ไทยก็ไม่ได้เป็นประเทศที่นักลงทุนจีนออกไปตั้งฐานลงทุนมากอันดับต้นๆ เมื่อเทียบกับประเทศทั่วโลกด้วย

สำหรับข้อสังเกตประการสุดท้าย และไม่ควรมองข้าม เพราะในช่วง 2 คืน 3 วันที่คอยติดตามการนำเสนอข่าวของสื่อจีนต่างๆ ทั้งสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อออนไลน์ และสื่อโทรทัศน์  ดิฉันต้องสะดุดและสะดุ้งกับภาพข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์จีนชื่อดัง และอาจจะเป็นอีกสื่อหนึ่งที่สะท้อนได้ว่า  จีนมอง “ไท่กั๋ว”อย่างไร 

หนังสือพิมพ์ China Daily ฉบับวันพุธที่  18 เมษายน 2012 ได้นำเสนอข่าวการเยือนจีนครั้งนี้ โดยมีภาพของผู้นำทั้งสองประเทศ  ทั้งนายกรัฐมนตรีจีนและนายกรัฐมนตรีไทย แม้จะมีภาพนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรที่ดูสวยเด่นจากการเป็นผู้นำหญิงไทยที่ใส่ชุดประจำชาติของจีน และยังคงชูภาพลักษณ์ความงามของการเป็นนายกรัฐมนตรีที่สาวและสวยที่สุดในโลกได้อย่างเหนียวแน่น  แต่มุมมองท่วงท่าและตำแหน่งในภาพของผู้นำทั้งสองคนที่ปรากฏอยู่บนปกหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ระดับชาติของจีนฉบับนี้ กลับดูจะเป็นรูปภาพที่ไม่น่าจะปกตินักในสายตาของดิฉัน 

โดยทั่วไปแล้ว  ในการนำเสนอข่าวการเยือนระดับประเทศ มักจะเป็นภาพผู้นำทั้งสองประเทศที่มีการจับมือ  การนั่ง การยืน หรือการเดินเคียงคู่ในระดับเดียวกันหรือเทียบเท่ากัน แต่ในครั้งนี้  หนังสือพิมพ์จีนชื่อดังกลับเลือกที่จะนำภาพของการเดินนำและเชิดหน้าแบบมุ่งมั่นของนายกรัฐมนตรีจีน โดยที่มีนายกฯ สาวงามของไทยกำลังย่างก้าวเดินตามเยื้องๆ อยู่ข้างหลังแถมด้วยรอยยิ้มกริ่มชายตาเหลียวมองนายกฯ จีนด้วยนะคะ

เสียดายเนื้อที่หมดพอดี จีงขอฝากเป็นการบ้านให้ไปช่วยกันลองคิดดูว่า  ภาพนี้สะท้อนอะไร  แท้จริงแล้ว จีนมองไทยอย่างไร ไทยอยู่ในสถานะอะไรในสายตาจีน และที่สำคัญ เมื่อวิเคราะห์นัยและอ่านใจฝ่ายจีนได้แล้ว รัฐบาลไทยควรจะบริหารจัดการความสัมพันธ์กับจีนอย่างไร เพื่อให้สมศักดิ์ศรีไทยแลนด์แดนสยามของเรา  และสุดท้าย  ดิฉันหวังว่า  ไทยคงจะไม่โดนจีนปรับสถานะจาก “มิตรที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้” กลายเป็น “มิตรที่ (จีน) สั่งการได้” นะคะ

หมายเลขบันทึก: 486146เขียนเมื่อ 26 เมษายน 2012 12:04 น. ()แก้ไขเมื่อ 1 มิถุนายน 2012 09:51 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท