จำได้ว่า...ตอนเด็กๆ แม่กับพ่อมักไม่ค่อยตัดสินใจอะไรให้ ท่านมักพูดให้เราคิดเอง... โห จำได้ตอนนั้นทุกข์ทรมาณในจิตใจมาก เพราะการคิดเองนี่ "ยากมากมาก...สำหรับเด็กตัวน้อยๆ"...และที่สำคัญคือ หมายถึงเราต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เราคิดและตัดสินใจเอง
สมองน้อยๆ ต้องทำงานติ้วๆ...
ข้าพเจ้าชอบพูดว่า "หัวหมุนติ้วๆ "... คล้ายอยากจะคาดเดาว่า คำตอบที่แม่กับพ่ออยากให้เราได้คือ เรื่องอะไร ...แหม..ในตอนนั้นรู้สึกกดดันอย่างยิ่ง
แต่...พอมาตอนนี้นะ
รู้สึกซาบซึ้งในวิธีการสอนของแม่กับพ่อเป็นอย่างยิ่ง
ทำให้เรามีลักษณะของการคิดใคร่ครวญ และพินิจพิจารณา เป็นคนละเอียดและลึกซึ้ง โอกาสคือ สิ่งที่แม่กับพ่อ เป็นผู้หยิบยื่นให้ ดังนั้นชีวิตที่ผ่านมาจึงเป็นชีวิตที่ได้รับโอกาสของการฝึกฝนประสบการณ์ชีวิต...
ความหมายของสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต ไม่ได้อยู่ที่ว่าเราทำ เราเป็นอะไร แต่...อยู่ที่ว่าเราได้เรียนรู้อะไรบ้างจากสิ่งต่างๆ ที่เราทำ ที่เราเป็น
ความสำเร็จที่เกิดขึ้นในชีวิต
คือ...การที่ได้ฝึกฝนจิตใจตนเอง เพื่อให้สะอาด สว่าง และสงบ ผ่านกระบวนการบ่มเพาะเลี้ยงดูของแม่กับพ่อ
มานั่งนึกๆ ดู...
ก็รู้สึกว่าหากจะจบชีวิตลงอย่างทันทีทันใดในห้วงเวลานี้ ก็ถือว่า OK แล้ว...ช่วงชีวิตที่ต่อจากนี้ ถือว่าเป็นกำไร...
...
๓๐ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๕
อาจารย์ครับ
วันนี้ผมกะว่าจะเขียนบันทึกถึงลูก
ได้แรงบันดาลมากมายที่เกิดขึ้นจากบันทึกของอาจารย์
ในการเติมเต็มบันทึกของผมครับ
จากบันทึก...นี้
คือ การสะท้อนให้เห็นว่า เราได้คิดและตระหนักถึงประสบการณ์ในวัยเด็กและสิ่งที่แม่กับพ่ออบรมเลี้ยงดูเรามา
ใจเราอ่อนโยนขึ้น...ซาบซึ้งในพระคุณของบุพการีทั้งสองท่าน
การได้เกิด...
คือ พระคุณที่แม่กับพ่อเสียสละความสุขส่วนตัวให้โอกาสเราได้เกิด บ่มเพาะเลี้ยงดู หากไม่ได้รับโอกาสนี้ ก็ไม่มีโอกาสได้เจอธรรมะอันประเสริฐ
...
จากบันทึกคุณอดิเรกที่เขียนเรื่องเล่าถึง ทิมดาบ เรื่อง ที่ว่างของความเสียใจ
...
เมื่อสักครู่...
หลังเลิกงาน ได้เครื่องปรุงสำหรับทำใส่แซนวิชไปวัดพรุ่งนี้ ว่าที่สามเณรน้อยคงจะดีใจที่จะได้ทานแซนวิชใส่ไก่...
เตรียมทุกอย่างเรียบร้อย จากนั้นก็ลงมือนึ่ง "มันฝรั่ง" จึงถามแม่ไปว่า
"มันฝรั่งใช้เวลานึ่งนานเท่าไรแม่..." คุณแม่ไม่ตอบค่ะ
"ก็ใช้เวลาเหมือนนึ่งมันทั่วไปนั่นแหละ" ...แหม คำตอบอย่างนี้แหละค่ะ ไม่ใคร่จะได้ให้ความกระจ่าง ดังนั้นนิภาพร จึงต้องลงมือทดสอบเองค่ะ
นึ่งไปได้สักพัก ก็เลยใช้ส้อมจิ้มมันฝรั่งดู...เอ๊ะ ก็ไม่แน่ใจสุกหรือไม่สุก
จึงตัดสินใจ ตักขึ้นมาทั้งชิ้นแล้วมาผ่าครึ่ง ... ก็ยังดูไม่เป็นดูไม่ออกอีก แต่เห็นเป็นวงๆ อยู่ตรงกลาง ก็ไม่แน่ใจค่ะ ว่าชิ้นอื่นเป็นเหมือนกันไหม
ก็เลยหยิบชิ้นอื่นๆ มาผ่าซีกดู...ดูแล้วก็ไม่มั่นใจ
ปรากฏว่า หยิบขึ้นมาหมดเลยค่ะ ผ่าดูทุกหัวเลยค่ะ ... มีลักษณะคล้ายกัน แต่ก็ไม่ได้ถามคุณแม่นะคะ เพราะรู้ว่าไม่ได้คำตอบแน่นอน ก็เลยตัดสินใจนึ่งต่อไปค่ะ
สักพัก...
ก็กลับไปดู ปรากฏว่า วงที่อยู่ตรงกลางของมันทุกหัว หายไป
เราจึงได้เข้าใจว่า อ้อ มันที่สุกแล้วมันเป็นเช่นนี้เอง...ฮา
...
ได้ถอดบทเรียนจาก พี่กระปุ๋ม
ถึงแนวทางเลี้ยงลูก (ถ้ามี) ให้คิดเป็นด้วยค่ะ :)
มันเทศ มันสำปะหรัง ฯลฯ
ถ้านำไปเผา
ก็เหมือนกันกับต้มเลย
คือถ้าผ่าแล้ว หรือหักเป็นท่อน
ยังมีวงตรงกลาง(ดิบ)
แสดงว่ายังไม่สุก
เคยมีประสบการณ์เลยยังจำได้
"""และเราอย่าลืมว่า...ตัวตนนี้..ไม่ใช่ของเรา...(ยายธี)
ขอบคุณครับ ชีวิตที่คิดเป็นไม่ต้องตั้งกรรมการปรองดองอย่างแน่นอน เพราะความจริงเป็นสิ่งที่ต้องยอมได้รับเสมอ
ขอบพระคุณค่ะ คุณSomsri ...
ชีวิตคือ การเรียนรู้ มาเพื่อเรียนรู้ ... รู้แล้วจะได้ไม่ต้องเรียนในเรื่องนั้นๆ อีกค่ะ
เมื่อใดที่เราได้เรียนรู้ว่า...ไม่มีเราไม่มีเขา...คือ ความสุดซึ้งบนหนทางแห่งการเรียนรู้ในครั้งนี้...
อุปทานสิ้น... "ตัวกู" ก็ดับลงไป
ขอบพระคุณค่ะคุณ ยายธี
ขอบพระคุณค่ะคุณ เดชา การที่ถูกฝึกให้คิดนั้น...เป็นการคิดที่เป็นมิฉาทิฐิหรือสัมมาทิฐิ...
หากเป็นสัมมาทิฐิ โลกนี้คงสงบงามยิ่งขึ้นค่ะ
ฝึกให้คิด และ คิดได้ ครับ