เมื่อวันที่ ๒๐ ก.พ. ๕๕ ธนาคารโลกและ สศช. ร่วมกันจัดการสัมมนาเชิงนโยบาย “Implementing the 11th National Economic and Social Development Plan : Skills and Higher Education for Ideas-Led Growth with Equity in Thailand” ผมได้รับเชิญไปร่วมเป็นเป็นผู้อภิปรายในช่วงก่อนเที่ยง เรื่อง Strengthening the contribution of higher education to Thailand’s competitiveness
ผมได้เตรียมPptนี้ เพื่อเสนอ มรรค ๘ เพื่อให้อุดมศึกษามีบทบาทต่อการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและความเป็นธรรมในสังคมของประเทศ
แต่ตอนประชุมจริงๆ ผมพูดเป็นคนสุดท้าย ตอนเกือบบ่ายโมง ใช้เวลาไม่ถึง ๑๐ นาที พูดได้ไม่ชัด
จึงขอนำสิ่งที่ผมต้องการสื่อสารมาบันทึกไว้ที่นี่ เป็นการ ลปรร.
เป้าหมายที่เราต้องการร่วมกันคือ (๑) ความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (๒) ความเป็นธรรมของสังคมและของระบบการศึกษา (๓) การศึกษาเพื่ออนาคต ไม่ใช่การศึกษาตามรูปแบบในอดีต (๔) เพื่อปลดพันธนาการการศึกษาจากความล้มเหลว
ผมได้เสนอมรรค ๘ ประการเพื่อบรรลุเป้าหมายทั้ง ๔ นั้น ตามที่ระบุในสไลด์ที่ ๓ ของ Ppt
มรรคที่ ๑ กำหนดเป้าหมายและวิธีการบรรลุเป้าหมายให้ถูกต้อง คือต้องเป็นการศึกษาที่ beyond knowledge สู่ทักษะ ที่เป็นทักษะเชิงซ้อนเรียกว่าทักษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑และตีความทักษะให้ลึกและเชื่อมโยงกว่าที่พูดกัน คือไม่ใช่เพียงทักษะในการทำงานเท่านั้น แต่รวมครอบคลุมทักษะที่เป็นผลการเรียนรู้ทั้ง 3 domain คือ cognitive, affective และ psychomotor และเมื่อเป็นทักษะก็หมายความว่าปฏิบัติได้ และทำได้ช่ำชองถึงขนาดเป็นอัตโนมัติ ซึ่งจะต้องฝึกฝน หรือเรียนรู้จากการปฏิบัติ (Learning by Doing) แนวคิดเรื่องทักษะจึงนำไปสู่รูปแบบการเรียนรู้แบบลงมือทำ ที่เรียกว่า PBL (Project-Based Learning) ซึ่งจะต้องเรียนเป็นกลุ่มหรือทีม เพื่อให้เกิด Collaborative หรือ Team Skills ด้วย การศึกษาแนว 21st Century นี้ต้องเริ่มตั้งแต่ ป. ๑ หรืออนุบาล พื้นฐานทักษะที่ละเอียดอ่อนหลายๆ ด้านจึงจะเข้มแข็งจริง
และครูอาจารย์ก็ต้องเรียนรู้แบบ PBL ด้วย โดย project ของครูเป็นกิจกรรมจริง คือการอำนวยความสะดวกการเรียนรู้ของนักเรียน ครูอาจารย์ต้องรวมตัวกันเป็น PLC (Professional Learing Community) เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้การปฏิบัติหน้าที่อาจารย์
มรรคที่ ๒ ทำหน้าที่อย่างบูรณาการ คือทำหน้าที่ ๓ อย่าง (การเรียนรู้ วิจัย บริการ) เป็นหนึ่งเดียว คือการที่ นศ. รวมกลุ่มกันเรียนแบบ PBL หากโครงการนั้นมาจากการทำงานจริง ในสถานทำงานจริง ก็จะเป็นการให้บริการ และหากตั้งคำถามให้คม เก็บข้อมูลให้เป็นระบบน่าเชื่อถือ นำมาวิเคราะห์สังเคราะห์ ได้ความรู้ใหม่ ที่เป็นความรู้ปฏิบัติ ก็จะเป็นผลงานวิจัยประเภท Implementation Research
กิจกรรม ๓ อย่างที่บูรณาการเป็นหนึ่งเดียวนี้ สามารถออกแบบให้ร่วมมือกับโรงเรียนในพื้นที่ (เช่นตัวอย่างโครงการ LLEN) ก็จะเป็นความเชื่อมโยงหรือบูรณาการสู่การศึกษาระดับพื้นฐาน เพื่อยกระดับคุณภาพของการศึกษาระดับพื้นฐาน
หากเชื่อมโยงกับภาคชีวิตจริง คือการทำงานหรือประกอบสัมมาชีพ และเชื่อมโยงกับส่วนอื่นๆ ของโลก ก็จะเป็นบูรณาการที่กว้างขวางมาก
มรรคที่ ๓ ทุกคน และทุกภาคส่วนเพื่อการศึกษา เรื่องนี้ระบุใน พรบ. การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ และกฎหมายอื่นด้านการศึกษา ว่าต้องระดมทรัพยากรจากแหล่งต่างๆ อย่างกว้างขวาง มาใช้พัฒนาการศึกษา แต่ที่ผ่านมา มีการนิยามความหมายของคำว่า “ทรัพยากร” ในความหมายที่แคบว่าหมายถึงเงินเท่านั้นแต่ผมกลับมองว่าภาคชีวิตจริงมีทรัพยากรที่สำคัญที่จะกระตุ้นแรงบันดาลใจใฝ่เรียนรู้ให้แก่นักเรียนนักศึกษา ปัจจัยสำคัญที่สุดที่จะทำให้เกิดการเรียนรู้ที่ทรงพลังคือแรงบันดาลใจ และทรัพยากรที่จะให้เกิดแรงบันดาลใจคือกิจกรรมในภาคชีวิตจริง
ในภาคชีวิตจริงมีความรู้ที่เป็น tacit knowledge หรือความรู้ปฏิบัติมากมายสำหรับให้นักเรียนนักศึกษาได้เข้าไปเรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติ โดยทั้ง นศ. และอาจารย์ต้องไม่สวมวิญญาณผู้รู้เข้าไปถ่ายทอดความรู้ แต่ต้องเข้าไปทำงานด้วยความเคารพความรู้ปฏิบัติที่มีอยู่ในสถานที่ปฏิบัติงาน สวมวิญญาณร่วมทำงานและร่วม ลปรร.
โดยนัยนี้ ภาคชีวิตจริงจึงสามารถให้ empowerment แก่ PLC ของครูอาจารย์ได้ จากมุมของแหล่งความรู้ปฏิบัติ
มรรคที่ ๔ มุ่งช่วยผู้อ่อนแอ เพื่อให้ช่วยเหลือตนเองได้ ผู้อ่อนแอหมายถึงสถาบันอุดมศึกษาที่ยังอ่อนแอก็ได้ หมายถึงอาจารย์ที่ยังอ่อนแอก็ได้ ต้องมีมาตรการช่วยเหลือให้มีแรงบันดาลใจ รู้จักตนเอง วาง positioning ของตนเองเป็น และดำเนินการพัฒนาตนเอง จากจุดแข็งของตน ให้มีทักษะของการเรียนรู้ และช่วยให้ feedback เพื่อปรับปรุงตนเอง แต่ถ้าตนเองไม่ตั้งใจและมานะพยายามพัฒนาตนเอง หรือพยายามอย่างไรก็ไม่ดีขึ้นเพราะขาดความสามารถ ก็ต้องใช้มรรคที่ ๕
มรรคที่ ๕ ขจัดผู้ไม่เอาถ่าน หลังจากส่งเสริม PLC ไประยะหนึ่งยังมีครู/อาจารย์ ที่ไม่พัฒนาตนเอง ก็งดเว้นการขึ้นเงินเดือน (ต้องแก้ไขกฎระเบียบ) สถาบันอุดมศึกษาที่ไม่พัฒนาตนเองอย่างชัดเจน ขจัดโดยไม่ให้โควต้าเงิน กยศ. เป็นเบื้องต้น ตามมาด้วยมาตรการลงโทษอื่นๆ
มรรคที่ ๖ การกำกับดูแลระบบอุดมศึกษา ใช้หลักการ stewardship ตามที่เสนอโดยธนาคารโลก โดยการสร้างสารสนเทศเพื่อการสื่อสารสาธารณะ ให้สาธารณชนเข้ามามีส่วนกำกับดูแล ตามผลงาน สารสนเทศได้จากการประเมินผลลัพธ์ในการทำงาน โดยมีเกณฑ์ประเมินที่หลากหลายตามประเภทหรือจุดเน้นของแต่ละสถาบันอุดมศึกษา
ให้มี Accountability Report
มรรคที่ ๗ ระบบการเงินเพื่อการอุดมศึกษา ต้องเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง เพราะระบบที่ใช้ในปัจจุบันเป็นระบบอุปถัมภ์หรือระบบเล่นพวก ที่ผู้บริหารต้องไปวิ่งเต้นที่สำนักงบประมาณ ไม่ใช่ระบบ merit system
ควรตั้งคณะทำงานวางระบบใหม่ เพื่อให้เป็นระบบที่ใช้ผลงานเป็นหลัก และมี competitive grant ด้านการวิจัยและการพัฒนาสถาบัน เพื่อทำงานให้แก่บ้านเมือง สถาบันที่ผลงานต่ำกว่ามาตรฐาน ให้ความช่วยเหลือภายใต้เงื่อนไข และเงื่อนเวลา หากปรับปรุงตนเองได้ไม่เข้าเป้า ลดการสนังสนุน โดยใช้หลักการสนับสนุนผู้แข็งแรงและทำประโยชน์แก่สังคมสูงสุด
ระบบทั้งหมดโปร่งใส มีผลการวิจัยระบบสนับสนุน
มรรคที่ ๘ ใช้การประเมินเป็นเครื่องมือในการพัฒนาเริ่มด้วยการพัฒนาขีดความสามารถในการประเมิน ระบบ สถาบัน และตัวบุคคล เน้นที่ formative assessment (ประเมินเพื่อพัฒนา) ผลการประเมินต้องนำไปสู่มาตรการเชิงบวก และมาตรการเชิงลบ ตามความเหมาะสม มาตรการเชิงบวกคือให้การสนับสนุนหรือการช่วยเหลือ มาตรการเชิงลบคือลดการสนับสนุน
ผู้พูดใน session ของผม และ session ก่อนหน้า ระบุชัดเจนว่า การบริหารระบบการศึกษาของไทยล้มเหลว ผมจึงเสนอมรรค ๘ ที่เน้นปรับปรุงการบริหารเป็นส่วนใหญ่
หากให้คนในระบบการศึกษามานำเสนอเรื่องทำนองนี้ ผมมีข้อสังเกตว่า เราจะได้รับรู้โครงการต่างๆ มากมาย ทำให้ผมวินิจฉัยโรคทางการศึกษาไทยว่า เป็นโรค “ทำมาก ได้ผลน้อย” แบบเดียวกับ “สอนมาก เรียนน้อย” เวลาสอนของครูไทยมากชั่วโมงแต่เมื่อวัดความรู้ของนักเรียนได้ผลเป็นกลุ่มโหล่ในโลก
วิจารณ์ พานิช
๒๐ ก.พ.๕๕
บรรยากาศในห้องประชุม
ผู้นำเสนอและผู้วิพากษ์ใน session ที่ผมร่วมวิพากษ์
ผู้นำเสนอและผู้วิพากษ์ใน session ก่อนหน้า เรื่อง Addressing the challenges and opportunities in Thailand’s skills development
ไม่มีความเห็น