หลายคนกำลังคิดค้นนวัตกรรมการทำลายล้างที่มีอานุภาพสูงสุด
แต่ลืมไปว่าอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงสุด
ก็คือ “คำพูด” ของเราเอง
ไม่ต้องไปดูอื่นไกล
มาดูตัวเราเอง
เรามักทะเลาะกับคนข้างเคียง
แม้แต่คนที่เรารักที่สุด
เราก็ยังหยิบเอาอาวุธนี้ทำประหัตประหารกัน
ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว
ความรักที่ฟูมฟักถนอมรักษามานานนม
ก็ถูกตัดขาดสะบั้นลง
แล้วทำไมคำพูดถึงมีอานุภาพร้ายแรงเช่นนี้
จริงจริงแล้วคำพูดไม่ได้มีอานุภาพทำลายล้างเท่านั้น
แต่ยังมีอานุภาพสร้างมิตรภาพและความรักที่ดีเยี่ยมด้วยเช่นกัน
เพียงแต่เราจะหล่อเลี้ยงคำพูดแบบไหนให้ชีวิต
จะหยิบเอาด้านไหนของคำพูดมาใช้
และเราให้คุณค่าความหมายของคำพูดมากน้อยเพียงใด
มีสติก่อนคิดใคร่ครวญก่อนพูดมากน้อยเพียงไหน
หลายครั้งที่มีอะไรมากระทบ
เราก็กระแทกกลับไปด้วยคำพูดแบบทำลายล้างทันที
ผลที่ตามมาคือความแหลกลาน
ทั้งคนพูดและคนที่ข้างเคียง
พิจารณาให้ลึกซึ้ง
มันอยู่ที่จิตของเราที่รับเสียงที่ได้ยิน
มาแปรความหมาย มาปรุงแต่ง
แต่งเอาว่าคำนี้ดี คำนี้ไม่ดี ว่าเขาด่าว่าเรา
แล้วเราก็โพล่งออกไปด้วยโทสะ
โทสะที่มีอำนาจการทำลายล้างสูงสุด
เท่านั้นยังไม่พอ
เราก็มักเก็บเอาคำพูดที่เราปรุงแต่งว่าเขาด่าว่าเรานั้น
เอามาทำร้ายเราอีกซ้ำแล้วซ้ำอีก
เขาว่าเราครั้งเดียว
แต่เรากลับเก็บเอามาแทงซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ให้เจ็บช้ำน้ำใจ
ไม่ได้เป็นเพราะใคร
หากแต่เป็นเพราะใจของเรา
ใจที่แบกรับมันเอง
ปรุงแต่งมันเอง
ตามใจเราให้ทัน
รู้ทันคำพูด
ได้คิดก่อนพูด
เมื่อพูดแล้วได้คิดตาม
ตามอย่างมีสติ
สติที่รู้เท่าทัน
สุขสันต์นะคะ จิตรกร ซอมพอน้อย