สวัดสดีค่ะเพื่อนๆ วันนี้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชุมพร มีเรื่องราวดีๆ มาฝากกันอีกแล้วค่ะ โดยเฉพาะเพื่อนๆ ที่ชื่นชอบเรื่องประวัติศาสตร์และโบราณคดี
ในขณะนี้มีละครทางโทรทัศน์เรื่องหนึ่งที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากที่เดียวค่ะ ละครเรื่องนี้ได้ผูกเรื่องราวต่างๆ โดยเชื่อมโยงประวัติศาสตร์เขมรบ้างส่วนไว้ด้วย ตัวเอกของเรื่องเป็นเจ้าหญิงเขมร ซึ่งเป็นพระราชธิดาของพระเจ้ายโศธรวรมัน พระนางมีอิทธิ์ฤทธิ์และเป็นอมตะ เฝ้ารอคอยชายคนรักมานานนับพันปี เกริ่นมาเท่านี้ เพื่อนๆ คงรู้แล้วนะคะว่าละครเรื่องนี้คือ อมฤตาลัย ฉากที่เราเห็นกันบ่อยๆในละครเรื่องนี้ คือ ปราสาทหิน การดำเนินเรื่องของอมฤตาลัยค่อนข้างสมจริงสมจัง โดยเฉพาะการที่ไม่ใช้ปราสาทหินเป็นพระราชวัง แสดงว่าทีมผู้สร้างละครมีการค้นคว้าข้อมูลที่ดีทีเดียวค่ะ
ปราสาทหินที่เราเห็นกันอยู่ในละคร หรือในประเทศไทยหรือในประเทศกัมพูชา ไม่ใช่ปราสาทราชวังหรือที่ประทับของพระมหากษัตริย์นะคะ แต่เป็นศาสนสถานที่ใช้ประดิษฐานรูปเคารพและประกอบพิธีกรรมทางศาสนาที่นับถือกันในสมัยนั้นๆ ปราสาทเขมรแต่ละแห่งที่สร้างขึ้นคือ สัญลักษณ์แห่งเขาพระสุเมรุที่ถูกจำลองขึ้นเป็นศูนย์กลางอันศักดิ์สิทธิ์ของบ้านเมือง และเพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานรูปเคารพอันศักดิ์สิทธิ์ประจำเมืองค่ะ
เรามาดูกันนะคะว่า ปราสาทเขมรที่เราเห็นในละคร มีความเป็นมาอย่างไร
ปราสาทเขมรที่เราเห็นกันอยู่ได้รับอิทธิพลทางศิลปกรรมจากประเทศอินเดียและมีการปรับรูปแบบจนเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง นอกจากนั้น ปราสาทเขมรยังได้ส่งอิทธิพลทางสถาปัตยกรรมให้ประเทศไทยด้วยคือ พระปรางค์ นั่นเองค่ะ
ในระยะแรกปราสาทเขมรมักจะก่อเป็นปราสาทหลังเดียว ตั้งอยู่โดดๆ ต่อมานิยมสร้างเป็นหมู่ตั้งแต่ ๓ หลัง ๕ หลัง ตั้งอยู่บนฐานเดียวกัน รวมทั้งมีปราสาทบริวาร บรรณาลัย (ห้องสมุด) ตั้งรวมอยู่ด้วย สิ่งก่อสร้างทั้งหมดตั้งอยู่บนพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมที่อาจจะมีระเบียงคต กำแพง และคูนำล้อมรอบ ทางเข้าปราสาทชั้นในมีซุ้มประตูที่เรียกว่า โคปุระ
ปราสาทเขมรมักจะหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเสมอค่ะ แต่ก็มีบางแห่งที่หันหน้าไปทิศอื่นๆ เช่น ปราสาทหินนครวัดหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ปราสาทเขาพระวิหารหันหน้าไปทางทิศเหนือ และปราสาทหินพิมายหันหน้าไปทางทิศใต้ เป็นต้น
วัสดุสำคัญในการก่อสร้างปราสาท คือ อิฐ ศิลาทราย ศิลาแลง และมีการใช้ไม้เสริมในบางส่วนด้วย เช่น ใช้เป็นส่วนคานเหนือทับหลังด้านใน และเพดาน
โครงสร้างที่สำคัญของตัวปราสาท แบ่งออกเป็น ๓ ส่วน คือ
๑. ส่วนฐาน มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสหรือสี่เหลี่ยมผืนผ้า
๒. ตัวปราสาท หรือที่เรียกกันว่าเรือนธาตุ ก่อเป็นห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ (ห้องครรภคฤหะ) มีผนังหนาล้อมรอบ มีประตูทางเข้าด้านเดี่ยวคือทางด้านหน้า อีก ๓ ด้านเป็นประตูปลอม หรือมีทางเข้าได้ทั้ง ๔ ด้าน
๓. ส่วนยอด หรือส่วนหลังคา สร้างเป็นชั้นๆ ซ้อนลดหลั่นกันขึ้นไป แต่ละชั้นมีการประดับด้วยอาคารจำลองเล็กๆ กลีบขนุน บนสุดประดับด้วยกลศหรือดอกบัว
เทคนิคในการก่อสร้างและการประดับตกแต่ง
ปราสาทที่สร้างด้วยอิฐ ใช้อิฐเรียงต่อขึ้นไปโดยมีนำยาชนิดหนึ่งเป็นตัวเชื่อม สันนิษฐานกันว่าคงเป็นน้ำยาที่ทำจากวัสดุธรรมชาติที่มีคุณภาพดีมาก เพราะอิฐแต่ละก้อนยึดติดเกาะกันแน่นแทบจะเป็นก้อนเดียวกัน สำหรัยในส่วนของกรอบประตู เสาประดับกรอบประตูจะใช้ศิลาทรายเสมอ การตกแต่งประดับลวดลายมีทั้งที่แกะสลักลวดลายลงบนอิฐและใช้ปูนปั้นพอกทับลงบนลวดลาย
ปราสาทที่สร้างด้วยศิลาทราย (หินทราย) ใช้ก้อนศิลาทรายที่ตัดแบ่งเป็นแท่งสี่เหลี่ยมขนาดไล่เลี่ยกันวางซ้อนกันขึ้นไปตามรูปทรงที่กำหนดไว้ในผัง โดยอาศัยนำหนักของหินแต่ละก้อนกดทับซึ่งกันและกัน และพยายามให้รอยต่อของหินแต่ละก้อนเหลี่ยมกัน การเรียงหินก่อขึ้นไปนี้ไม่ใช้เครื่องสอหรือเครื่องยึดหินเข้าด้วยกันแต่อย่างใด นอกจากส่วนที่มีความจำเป็นต้องเสริมความมั่นคงเป็นพิเศษ เช่นขอบหรือมุมอาคาร จะใช้แท่งเหล็กรูปตัว I หรือ Z เป็นแกนยึด โดยวางแท่งเหล็กลงในร่องที่บากหินไว้ แล้วใช้ตะกั่วหลอมละลายราดทับลงไปอีกที การตกแต่งปราสาทที่สร้างด้วยศิลาทรายจะแกะลวดลายลงบนผิวหน้าของศิลาทรายที่เป็นส่วนประกอบทางสถาปัตยกรรมที่สำคัญได้แก่ ฐาน ทับหลังประดับ หน้าบัน เสาประดับกรอบประตู เสาประดับผนัง ชั้นเชิงบาตร และองค์ประกอบต่างๆ ของส่วนยอดปราสาท
ปราสาทที่สร้างด้วยศิลาแลง มีเทคนิคในการก่อสร้างแบบเดียวกับศิลาทรายที่กล่าวมาข้างต้น แต่ไม่อาจสลักลวดลายลงบนผิวศิลาแลงเหมือนที่แกะลงบนศิลาทรายได้เพราะเนื้อศิลาแลงหยาบมาก จึงใช้ปูนปั้นพอกประดับเป็นลวดลายแทนการสลัก
เป็นอย่างไรบ้างค่ะ สำหรับเรื่องราวของปราสาทหินเขมรที่เรานำมาฝาก เราหวังว่าเพื่อนๆ ที่อ่านเรื่องนี้แล้วคงได้รับความรู้และเพิ่มความสนุกสนานในการชมละครเรื่อง อมฤตาลัย มากขึ้นนะคะ
แล้วพบกันใหม่ค่ะ
เอกสารอ้างอิง
- มยุรี วีระประเสริฐ, ผู้ช่วยศาสตราจารย์. "การเผยแพร่อารยธรรมเขมรโบราณและหลักฐานโบราณคดีสมัยลพบุรี". โครงการอบรมครูสังคมด้านโบราณคดีและประวัติศาสตร์ไทย ภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ๒๔ - ๒๘ เมษายน ๒๕๔๔. (เอกสารอัดสำเนา)
ไม่มีความเห็น