หลังจากที่ดีใจหลังจากปีใหม่มาไม่นาน กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้คลอดโครงการใหม่อันเป็นที่ฮือฮาในแวดวงการศึกษาของไทยอย่างจังงัง คือ โครงการ “ พ.ศ. 2555 ปีแห่งการพูดภาษาอังกฤษ (English Speaking Year 2012) ทุกวันจันทร์ของสัปดาห์" โดยเน้นไปที่การปฏิบัติจริง พูดจริง และนำองค์ความรู้มาใช้ได้จริง ....
จากการสังเกตการณ์การปฏิบัติการวันแรกเมื่อวันจันทร์ที่ 9 มกราคม ที่ผ่านนั้น พบว่านักเรียนส่วนมากยังคงใช้ภาษาไทยในการสื่อสารมากกว่า 70% โดยสาเหตุดังกล่าวสามารถวิเคราะห์ได้ดังต่อไปนี้
เนื่องจากนักเรียนไทยส่วนใหญ๋ใช้ภาษาไทยเป็นภาษาแม่เพื่อการสื่อสารจึงเป็นการยากที่บางครั้งเด็กนึกถึงคำศัพท์ที่จะพูดไม่ได้จึงส่งผลให้ไม่กล้าที่จะเอ่ยปากพูด (อย่าว่าแต่นักเรียนเลยครับ ... ครูบางท่านยังนึกคำศัพท์ไม่ออกด้วยซ้ำครับ)
นักเรียนไทยในแถบต่างจังหวัดหรือชานเมืองนั้นส่วนใหญ่มักจะมีความเขินอายมากและมีความกล้าแสดงออกค่อนข้างน้อย อาจเป็นเนื่องมาจากรากฐานทางวัฒนธรรมที่ดีงามของไทยเรา แต่ถึงอย่างไรก็ตามครูคือบุคคลสำคัญที่จะต้องผลักดันให้นักเรียนกล้าแสดงออกมากยิ่งขึ้น ....
ต้องยอมรับว่าระบบการศึกษาของไทยนั้นยังขาดแคลนสื่อการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งบุคลากรทางการศึกษาหรือว่าครูผู้สอนเองนั้นก็มีความเชี่ยวชาญและความชำนาญที่แตกต่าง ดังนั้นอาจจะต้องอาศัยระยะเวลาในการบ่มเพาะและฝึกฝนให้กับครูสักระยะเวลาหนึ่งเพื่อเตรียมความพร้อมต่อไปในอนาคต
ซึ่งการวางรากฐานแบบนี้จะเป็นการปูพื้นฐานให้กับครูผู้สอนและนักเรียนสามารถเรียนรู้ร่วมกันได้อย่างไม่น่าเบื่อ หลังจากการเรียนการสอนในรูปแบบภาษาอังกฤษประสบความสำเร็จแล้วก็จะสามารถนำครูผู้นั้นมาถ่ายทอดประสบการณ์การสอนและเป็นครูต้นแบบในการใช้ภาษาอังกฤษอีกด้วย
เพราะเพียงแค่เฉพาะการพูดในวันจันทร์นั้นคงไม่เพียงพอ อาจจะต้องออกแบบกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน(ชมรมหรือชุมนุม)ให้สอดรับกับกิจกรรมดังกล่าว อาทิ ชมรมข่าวภาษาอังกฤษรุ่นเยาว์, ชมรมละครภาษาอังกฤษ หรือ ชมรมสนุกกับภาษาอังกฤษ เป็นต้น
เน้นการฝึกทักษะการฟัง, การพูด, การอ่าน และ การเขียนภาษาอังกฤษจากสื่อต่างๆ อาทิ การรับชมและรับฟังข่าวภาษาอังกฤษ, การชมภาพยนตร์ภาษาอังกฤษ ตลอดจน การอ่านข่าวหรือฟังเพลงเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อเน้นการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีในการเรียนรู้อีกด้วย
ทางสถานศึกษาควรเล็งเห็นความสำคัญดังกล่าวและให้การอบรมหรือติวเข้มให้กับครูหรือบุคลากรทางการศึกษาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งอาจจะต้องหาผู้ที่มีความสามารถมาร่วมกันจัดประสบการณ์ทางการศึกษาที่เป็นภาษาอังกฤษให้นักเรียนในสถานศึกษาอีกด้วย
นอกจากการใช้ภาษาอังกฤษที่โรงเรียนเท่านั้นยังไม่เพียงพอ ครูต้องจัดกิจกรรมเพื่อให้นักเรียนได้สามารถใช้ภาษาอังกฤษที่บ้านหรือชุมชนของนักเรียนอีกด้วย เพื่อจะได้เป็นการต่อยอดทางความคิด ขยายกรอบความรู้และมโนทัศน์ของนักเรียน แถมผู้ปกครองยังได้ฝึกใช้ภาษาอังกฤษร่วมกับนักเรียนอีกด้วย
เหล่านี้คือข้อเสนอแนะที่ผมรวมรวมมาเพื่อเป็นการพัฒนาตัวบุคลากรทางการศึกษา,
ครูผู้สอน, ผู้บริหารสถานศึกษา รวมทั้งนักเรียน ตลอดจนผู้ปกครองและชุมชมอีกด้วย ...ลองนำไปปรับใช้ดูนะครับ
เผื่อว่าสามารถเป็นอีก “แนวทางหนึ่งในการร่วมกันพัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถทางภาษาอังกฤษของนักเรียนไทยต่อไป” ....
กำลังจะเขียนเรื่องนี้เหมือนกัน แต่งงว่าทำไมกระทรวงต้องบังคับเฉพาะวันจันทร์ 555
การเรียนรู้ภาษาอังกฤษระดับประถมยังด้อยพัฒนา ผมต้องพูดอย่างนี้ เพราะดูจากการเรียนรู้ของลูกสาวผม แล้วก็การเสริมทักษะจากผม แล้วเทียบกับเด็กคนอื่น ๆ ผมจะเน้นให้เรียนรู้ภาษาอังกฤษจากความเข้าใจ และอ่านออก เขียนได้ ไม่ใช่ท่องจำ
ผมเห็นเด็กหลายคนไปเรียนพิเศษแล้วกลับมาบ้านพ่อแม่ภูมิใจคือสามารถพูดประโยคภาษาอังกฤษพื้นฐานได้อย่างรวดเร็ว แต่เมื่อไปเจอประโยคที่ไม่เคยเรียนก็ไปไม่เป็น อย่าว่าแต่ความหมายเลย อ่านออกเสียงยังไม่เป็น
ผมเน้นให้ลูกสามารถสะกดคำได้ อ่านได้ ถึงแม้ไม่รู้ความหมายก็เน้นให้อ่านเองก่อนแล้วค่อยเปิดดิก ห้ามเปิดดิกเพื่อหาคำอ่าน แนะนำให้เรียนรู้จักสระ และการผสมคำ เรียนจากแบบเรียนภาษาอังกฤษที่เป็นภาษาอังกฤษล้วน
ทุกวันนี้ลูกสาวผมอ่านได้ ถึงแม้จะแปลไม่ได้ แต่เด็กสนุกกับการพยายามค้นหาความหมายจากการอ่าน
นี่เป็นอีกมุมมองหนึ่งนะครับ ที่สามารถนำไปค้นหาและคิดพัฒนาต่อยอดได้
การรับชมและรับฟังข่าวภาษาอังกฤษ, การชมภาพยนตร์ภาษาอังกฤษ ตลอดจน การอ่านข่าวหรือฟังเพลงเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อเน้นการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีในการเรียนรู้อีกด้วย..
ขอบคุณคะ
เห็นด้วยทุกประการ อยากให้โครงการนี้ขยายผลถึงระดับมหาวิทยาลัยด้วยจัง
สร้างสิ่งแวดล้อมใช้ทักษะภาษาอังกฤษเท่าที่จะทำได้
ตอนนี้ก็พยายามอยู่คะ ที่ทำงานไม่ได้ใช้ เมื่อกลับมาบ้าน เข้าอินเตอร์เนต ฟังเพลง ฟังข่าว ดูหนัง ภาษาอังกฤษ
ขอบคุณสำหรับทุกความคิดเห็นนะครับ ^_*
@ คุณขจิต ฝอยทอง : อันนี้ผมก็ไม่ทราบสาเหตุครับ อาจจะเป็นการนำร่องมั้งครับ ... ปี 2556 อาจเพิ่ม จ - พ - ศ นะครับ
@ ผศ. วิไล แพงศรี: ผมคิดว่าสิ่งที่อาจารย์ช่วยผลักดันอยู่นั้นก็เสมือนเป็นการสอนเด็กไปในตัวแล้วละครับ ...
@ คุณโยธินิน: จริงๆแล้วการเรียนที่โรงเรียนกับการสอนพิเศษ ค่อนข้างมีความแตกต่างกันพอสมควรครับ ... รวมทั้งเด็กนักเรียนแต่ละคนก็มีความหลากหลายและศักยภาพเหมือนกันครับ ... การที่คุณช่วยอบรมและเอาใจใส่นั้นเป็นสิ่งที่ดีมากครับ .... อีกทั้งการเรียนแบบเข้าใจคอนเซ็ปต์ และ การเรียนแบบท่องจำ ต้องทำไปควบคู่กันอย่างลงตัวครับ .... เพราะเด็กบางคนท่องแต่ไม่เข้าใจคอนเซ็ปต์ก็ไม่สามารถประยุกต์ใช้ได้ครับ ...
@ คุณ ป. : ถ้ายังไงลองเอาไปใช้ในที่ทำงานสิครับ ... ^^
@ ดร. พจนา แย้มนัยนา : ขอบคุณมากครับ
เห็นด้วยกับการส่งเสริมให้ใช้ภาษาอังกฤษในชุมชนและที่บ้านนะคะ
เห็นด้วยว่าครูและผู้ปกครอง เป็นกองกำลังสำคัญในการผลักดันนักเรียน และบุตรหลานให้เขาได้มีโอกาสได้ฝึกฝน และนำไปปฏิบัติจริง ผู้เกี่ยวข้องทุกท่านต้องสร้างโอกาส สนับสนุนอย่างเต็มที่ค่า