ศาสนาพุทธต่างจากศาสนาอื่นตรงที่....


ศาสนาพุทธนั้นนอกจากจะไม่เข่นฆ่าผู้อื่นแล้ว ยังช่วยยุติการเข่นฆ่าได้อีกด้วย เช่น กรณีของกษัติรย์อโศกมหาราช ที่ยุติการเข่นฆ่าหลังจากหันมานับถือศาสนาพุทธเป็นต้น
ศาสนาพุทธต่างจากศาสนาอื่นตรงที่....********** หลายพุทธปราชญ์ได้นำเสนอความต่างของศาสนาพุทธจากศาสนาอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่พุทธไม่มี “พระเจ้า” (แต่เราชาวพุทธก็ยังพยายามจะยกให้ พระพุทธ เป็น พระพุทธ”เจ้า” อยู่นั่นแหละ ....ไม่พ้นเลียนแบบฝรั่งและแขกไปได้สักที) **********ที่ผมคิดได้ในวันนี้อีกเรื่องคือ การแพร่ศาสนาพุทธนั้นไม่เคยเกิดความรุนแรง (เลือดตกยางออก) ทั้งในสมัยพุทธกาลและหลังจากนั้น **********ในสมัยพุทธกาลนั้นไม่มีการเสียเลือดโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจากเรากระทำเขาหรือเขากระทำเรา ทั้งนี้ เดาว่าคงมาจากบารมีของพระพุทธนั่นเอง ที่ท่านพูดทำแต่สิ่งที่เต็มไปด้วยปัญญา จนฝ่ายตรงข้ามต้องยอมรับโดยไม่อาจโต้เถียงได้ (ยอมจำนนทางปัญญา) **********แต่พอสิ้นพระพุทธ (หลังพุทธกาล) ชาวพุทธขาดพุทธบารมี มันก็ลดระดับลงมา ทำให้เราทำได้เพียงแค่ไม่รุกรานหรือข่มเหงผู้อื่น ส่วนผู้อื่นนั้นข่มเหง เข่นฆ่าเราเป็นผักเบือ ก็ทำได้เสมอ ดังที่ได้มีบันทึกเรื่องนี้ไว้มากหลายในประวัติศาสตร์ **********ศาสนาพุทธนั้นนอกจากจะไม่เข่นฆ่าผู้อื่นแล้ว ยังช่วยยุติการเข่นฆ่าได้อีกด้วย เช่น กรณีของกษัติรย์อโศกมหาราช ที่ยุติการเข่นฆ่าหลังจากหันมานับถือศาสนาพุทธเป็นต้น **********ลองหันไปมองศาสนาอื่นทุกศาสนา จะเห็นได้จากประวัติศาสตร์ว่าเต็มไปด้วยความรุนแรง ทั้งที่ถูกกระทำ และไปกระทำต่อผู้อื่น (ล้างแค้น) แม้ในช่วงเวลาที่เจ้าศาสดายังดำรงชีวิตอยู่ ...... ในการถูกกระทำนั้นนับว่าน่าเห็นใจมาก แต่ถามลึกๆว่าแล้วเจ้าศาสดาของท่านไปทำอะไรเล่าจึงได้ถูกกระทำเช่นนั้น ก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าศาสดาของพวกเรา “ฉลาดเกินไป” ทำให้พวก “โง่และป่าเถื่อน” คิดไม่ออกและยอมรับไม่ได้ พวกมันจึงได้กระทำการโหดร้ายทารุณต่อพวกเรา **********.....แต่ผมขอท้วงว่า ไม่ใช่หรอก เพราะถ้าศาสดาของพวกท่านฉลาดพอ ท่านต้องสอนให้คนโง่ คนโหดร้าย กลายเป็นคนใจดี มีเมตตาได้สิ ..นี่อาจแสดงว่าศาสดาเหล่านั้นไม่ได้ฉลาดล้ำเพียงพอก็เป็นได้ **********เท่าที่นึกออกในขณะที่เขียนนี้ มี”ศาสนาอื่น”เพียงศาสนาเดียวที่ไม่มีความโหดร้ายมาเกี่ยวข้องคล้ายพุทธศาสนา คือ ศาสนาเชน ศาสนานี้มีอะไรคล้ายศาสนาพุทธมาก (กำเนิดก็ร่วมสมัยกันด้วย) แต่ว่าแนวปฏิบัติค่อนข้างไปทางสุดโต่ง (เช่น ชีเปลือย เดินไปกวาดถนนไปล่วงหน้าเพราะกลัวจะไปเหยียบแมลงตาย) **********อีกสิ่งหนึ่งที่ผมได้สังเกตคือ ศาสนาพุทธต่างจากศาสนาอื่นตรงที่ไม่มีแนวคิดหลักในเรื่อง “การเสียสละ” ซึ่งแนวคิดนี้มักเป็นหลักสำคัญในศาสนาอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสียสละเพื่อพระเจ้า จริงอยู่ศาสนาพุทธมีแนวคิดเรื่องการบริจาค (สละทรัพย์) อยู่บ้าง แต่เป็นเพียงหลักการย่อยเท่านั้น **********ลองนึกดูสิครับ คำสอน 84000 พระธรรมขันธ์นั้นมีสักกี่ข้อที่พูดถึงการเสียสละ และที่พูดนั้นในบริบทที่สำคัญเพียงใด **********ผมเห็นว่า “การเสียสละ” นี่แหละคือต้นเหตุสำคัญของความรุนแรง เพราะการที่คิดว่าตนเองเสียสละนั้นคือ “การยึดติด” พอยึดติดก็ยิ่งเห็นความสำคัญของตน (กว่าคนอื่น) ดังนั้น ตัวตนก็ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ก็ยิ่งไปกันใหญ่ เป็นหน่อเนื้อแห่งความรุนแรงนั่นเอง **********หลักการของศาสนาพุทธคือ การฝึกตนจนหมดทิฐิแห่งตัวตน จนกระทั่งมีสมาธิและปัญญาในการทำหน้าที่แห่งตนได้อย่าง “เต็มที่” โดยไม่ต้องมาคิดว่าเป็นการเสียสละแห่งตนแต่อย่างใด (เพราะหมดตัวตนแล้ว) มันก็เลยหมดปัญหาไปได้หลายประการ....ดังนี้แล **********...คนถางทาง (๑๑ มกราคม ๒๕๕๕)
หมายเลขบันทึก: 474304เขียนเมื่อ 11 มกราคม 2012 09:16 น. ()แก้ไขเมื่อ 13 กุมภาพันธ์ 2012 00:43 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

ในเรื่องของ การเสียสละ เป็นอีกมุมมอง ที่ลึกลงไปมาก จนคาดไม่ถึง ปลื้มมากเลย บันทึกนี้ ขอบคุณสาระดีๆ

ที่ทำให้รู้ว่า ปากก็ "ด่า" ไปงั้นแหละ

การด่าเป็น "หน้าที่" อย่างหนึ่งนะครับ แต่ต้องด่าแบบมีสาระและให้ความรู้พร้อมกันไป (มีอารมณ์แทรกบ้างก็หยวนน่า เพราะยังไม่ได้เป็นอริยะบุคคล)

ลองสังเกตดูนะครับการสอนของ พพจ.นั้น มีคำตำหนิ (ด่า) ปนมามากกว่าคำชมแบบ 100 ต่อ 1 ก็ว่าได้

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท