ที่กังวลไม่ใช่เรื่อง "รถติด" หากแต่เป็นเรื่อง "ต้นแบบของการเรียนรู้" ของเด็กและเยาวชนในอนาคต การอยากได้มาในสิ่งที่ต้องการโดยการนำความ "ทุกข์" ของคนอื่นมาเป็น "ตัวประกัน" และบทสรุปส่วนใหญ่มักลงเอยแบบสมปราถนา อาจทำให้เด็กและเยาวชน ซึ่งอาจรวมไปถึงผู้ใหญ่หลายคนคิดว่านั่นคือ "สิ่งที่ถูกต้อง"
ในทางพุทธศาสนาให้ความสำคัญกับสิ่งนี้เช่นเดียวกัน การสร้างถนน ขุดคลอง สร้างสะพาน จึงถูกบรรจุอยู่ในคำสอนว่าเป็นการ "สร้างบุญ" อย่างหนึ่ง เพราะสร้างความสะดวกสบายให้กับคนเดินทาง หากทำตรงข้ามก็คงไม่ต้องบอกอีกเช่นกันว่าได้อะไร ครั้งหนึ่งผมเจอกับตัวเอง มีการปิดเส้นทางคมนาคม มีสุภาพสตรีท่านหนึ่งยืนร้องไห้อยู่ ผมจึงถามว่าเป็นอะไร เธอตอบว่า "ต้องนำยาไปฉีดให้คุณแม่วันนี้" ผมพยายามคิดว่าจะช่วยอย่างไร แต่วันนั้นดูวุ่นวายเพราะหลายคนดูเหมือนมีความจำเป็นที่ต้องเดินทางเหมือนๆ กันหมด ยังไม่ทันคิดออกเธอก็หายไปจากสายตาผมแล้ว
..ขอ"ชื่นชอบ"กับข้อเขียนนี้..เจ้าค่ะ..อยากให้มีคนอ่านเยอะๆ..กับการเปรียบเทียบ..ความคิด.(เห็น).การเมือง..ประชาธิปไตย..(การเรียนรู้)..การปกครอง.."ต้นเหตุแห่งทุกข์"...(ทุกข์สารธารณะ..ที่ผู้ประสพต้องเป็นแพะรับ .."..".. กันไป....)
"ปิดถนน" คือ หนทางแห่งความสำเร็จที่ชัดเจนของผู้ที่บอกกับคนอื่นว่า ตนเองเดือดร้อนที่สุดในโลก เมื่อคนอื่นเดือดร้อนจากการปิดถนนบ้าง ตัวเองก็จะได้ตามข้อเรียกร้องนั่นเสมอไป ตราบใดก็ตามที่คนที่เดือดร้อนไม่ใช่ลูก สามี ภรรยา พ่อ หรือ แม่ ของตัวเอง
เป็นกรณีเดียวกับ ลูกอยากได้ของเล่น แล้วไม่ได้ ก็จะลงไปนอนดิ้นกับพื้นจนกว่าจะได้ของเล่น
เป็นกรณีเดียวกับ แมวหิว ร้อง ๆๆๆๆ แล้วก็มอง ๆๆๆๆ จนกว่าจะได้อาหารที่ต้องการ
แต่นี่คือ คนที่มีสติโดยสมบูรณ์เป็นคนกระทำ
ผมเคยเห็นคนที่ถูกปิดถนน เป็นคุณแม่ที่ลูกไม่สบายอย่างหนัก และกำลังจะอุ้มลูกไปหาโรงพยาบาล แต่พวกคนปิดถนนมันไม่สนใจ คุณแม่ท่านนี้จึงต้องลงรถเมล์แล้วเดินไปตามถนนเอง
รัฐบาลไหนหนอ สอนประชาชนไทยด้วยเงิน แ้ก้ปัญหาด้วยเงิน มีอะไรก็แจกเงิน
การแจกเงินนั้นมันก็ดี แต่ควรจะมีเงื่อนไขติดตัวไปด้วย ไม่ใช่ ให้แบบฟรี ๆ หรือกิินเปล่า
อย่างนี้ข้อเรียกร้องก็ไ่ม่มีที่สิ้นสุด เพราะมนุษย์ีมีความอยากเป็นเพื่อนสนิท ไม่รู้จักพอเป็นเพื่อนรัก
รัฐ ... กำลังสอนให้คนไทยเป็นแบบนี้ครับด้วยนโยบาย วิีธีปฏิบัติที่ทำเพื่อเสียงประชาชน มันคือการซื้อเสียงเชิงนโยบาย
รัฐกำลังทำลายวัฒนธรรมดี ๆ แต่เอาวัฒนธรรมเลว ๆ มาใช้ แรงไปหรือไม่ ไม่ทราบ แต่ผมไม่ได้คนสีอะไรเลยทั้งนั้น เห็นว่า ไม่ดี ก็ว่า ไม่ดี เห็นว่าดี ก็ว่า ดี ครับ
โห ผมว่าจะเขียนไม่ค่อยได้แล้วนะครับ เขียนยาวไปไหมเนี่ย ;)...
ขอบคุณมากครับ ;)...
เห็นด้วยค่ะ ข้อเรียกร้อง มิควร ให้ผู้บริสุทฺธิ์ เดือดร้อน หากแต่ทั้งนี้ ทั้งนั้น ก็ต้องคำนึงว่า เรื่องที่เรียกร้อง อะไร และควรหาวิธีการอื่น
มองอีกมุม หากเรามี ผู้นำ รัฐนาวา ที่ นำพาประเทศ ด้วยมาตรฐาน ความชอบธรรม สร้างค่านิยมดีๆ เรื่องความถูกต้อง กำหนดกฏเกณฑ์ บนพื้นฐานคุณธรรม เน้นประโยชน์ส่วนรวม ... ก็คงจะไม่เกิดกรณี การเรียกร้องที่ก่อให้เกิดความเสียหาย ต่อสาธารณะชน
หากใครอยู่เหนือกฏ ก็จัดการขั้นเด็ดขาดซะเลย ไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง และประชาชนอื่นก็คงเข้าใจดีกับการรับมือกับผู้ฝืนกฏ ค่ะ
หน่วยงานใดเล่าล่ะจะรับผิดชอบและดูแลกรณีนี้ หากรัฐมินำ ทำเป็นตัวอย่างที่ดี ตราบใดที่ไม่ชัดเจน ปัญหาก็ยังคงมีต่อไป ค่ะ
- ไม่น่าแปลกใจหรอกครับว่าวัฒนธรรมบิดเบี้ยวนี้จะถูกลอกเลียนและเอาแบบอย่าง เพียงอยากจะบอกว่าการปิดถนนแค่นี้มัน"จิ๊บๆ"
เนื่องจากในสถานที่อัน"ไม่ควร"อย่างยิ่งกว่าบนท้องถนนที่ผิดเพียงแค่พรบ.จราจร ก็ยังทำกันมาแล้วด้วยความภาคภูมิใจ ก็ไม่อยากจะฟื้นฝอยหาตะเข็บอันใด แต่ในเมื่อบรรทัดฐานที่ผิดๆที่ถูกสร้างขึ้นมานี้ก็มีหลายๆคนได้ให้การสนับสนุนเต็มตัวและเต็มใจ
-อย่างไรก็ตามยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่แสดงความเป็นห่วงเป็นใยว่าจะเป็นแนวทางแห่งการทำซ้ำในเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งคนเหล่านั้นก็ต้องถูกป้ายให้มีสีว่าไม่"รักชาติ"ไปตามระเบียบ ถึงวันนี้จึงไม่น่าแปลกใจว่าอะไรที่เป็นความเดือดร้อนของคนส่วนรวมจึงต้องกลายมาเป็นตัวประกันเพื่อแลกกับความต้องการของคนบางกลุ่ม โดยมีคำพูดที่ว่า"ต้องลำบากหรือเสียสละเพื่อส่วรวม"(ของ?????????????) หรือถ้าจะให้ฮาร์ดคอร์กว่านั้นก็คงจะประมาณว่า "ตายเป็นตาย,เจ๊งเป็นเจ๊ง"ชิมิๆๆงุงิๆๆ และนี่คือเหตุการณ์ปกติภายใต้ผ้าห่มคลุมโปงของคำว่าประชาธิปไตยแบบ"ไทยๆ" น่านเอง
วันนี้ฟังวิทยุมีคนพูดขำดีเลยเอามาเล่า พอดีตรงกับเรื่องที่ตัวเองเขียน
คุณหมอ : คุณเป็นโรค "หูตึง" ครับ ไม่ทราบคุณเป็น "นักการเมือง" หรือไม่
คนไข้ : อ้าวมันเกี่ยวอะไรล่ะครับคุณหมอ
คุณหมอ : ผมจะได้เลือวิธีรักษาถูก เพราะถ้าคุณเป็นคนธรรมดา ผมจะจ่ายเครื่องช่วยฟังให้
คนไข้ : แล้วถ้าผมเป็นนักการเมืองล่ะครับ
คุณหมอ : คงต้อง "ปิดถนน" ครับท่าน