ชีวิตในวัยเด็ก บุญช่วย มีจิต
เมื่อขาดแม่เสียแล้ว เราจึงตกอยู่ในความอุปาการะของยาย (คุณยายเกียน ชมพูเลิศ แม่เลี้ยงตัวจริงของเรา ) ยายเขามีลูกคนสุดท้องอายุสองปีกว่า ๆ คือ
น้าบัวลี ชมภูเลิศ
ยังไม่หย่านมดี เราก็ไปแย่งน้ากินนมยายจนโต โตจนจำความได้ว่าขณะกินนม มีคนบอกจะเอาขี้ไก่ทานมยาย เพื่อไม่ให้เราดูด ( ให้หย่านม )
ยายรักเรามาก รักเหมือนลูกในไส้ รักมากกว่าลูกตัวเองด้วยซ้ำไป
เพราะเหตุว่า ท่านรักลูกสาวและคิดถึงลูกสาวของท่านมากนั่นเอง
เราก็รักยายมาก รักเหมือนแม่ เรียกแม่ และนึกว่าเป็นแม่จริง ๆ ด้วย ติดยายมาก จะไปไหนก็ไม่ยอมให้ไป ต้องร้องตามทุกครั้ง ในขณะนั้นยังเด็กเกินไป ไม่มีใครกล้าบอกความจริง
แล้วก็เกิดการแย่งกันรักระหว่างพ่อซึ่งถึงแม้สติของท่านจะวิปลาสไปแล้ว ก็ยังคงรักลูกมาก
แต่รักแบบคนบ้า เรากลัวโยมพ่อมาก เพราะท่านเสียงดัง ดุ และกันเราไม่ให้ไปหายาย ฝ่ายหนึ่ง
กับ ยายซึ่งรักเรามากและเราก็รักท่านมาก ไม่อยากให้เราไปหาพ่อ อีกฝ่ายหนึ่ง
การแย่งกันรักนี่เองทำให้เราถูกโยมพ่อเตะล้มกลิ้งไปตามพื้นดินหลายตลบ เมื่อมาเรียกแล้ว เราไม่ยอมไปด้วย ท่านเลยมากระชากออกจากอ้อมกอดของยายซึ่งได้แต่ร้องไห้ทำอะไรไม่ถูก โยมพ่อกระชากลากถูไปพร้อมกับเตะเราจนล้มกลิ้ง ท่ามกลางเสียงหวีดร้องของญาติ ๆ ไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วย เดชะบุญได้ป้าแก้ว [1] เข้ามาแย่งไว้ ซึ่งโยมพ่อนับถือป้าคนนี้มาก ท่านจึงยอมปล่อยและคงได้สติกลับคืนมา
ไม่งั้นป่านนี้คงไม่ได้มานั่งเขียนประวัติอยู่อย่างนี้หรอก!!
พออายุได้ 6 ขวบ ( โดยประมาณ ) ยายได้ไปฝากเรียนที่โรงเรียนวัดบ้านนากระเดา[2] เมื่อ พ.ศ. 2496
เนื่องจากว่าเราจัดอยู่ในประเภทหัวดี หรือ
“ ป่อง ”
จึงได้สอบผ่านไปเรียน ป. 2 เลย ไม่ต้องเรียนชั้นเตรียมหรือชั้นขี้ไก่เหมือนเพื่อนคนอื่นเขา เรียนอยู่ได้สองปี พอขึ้น ป.3 ได้ย้ายโรงเรียนไปรวมกับบ้านกุดตาใกล้ โดยไปขนไม้มาจากบ้านหินลาด ซึ่งไกลออกไปประมาณยี่สิบกิโล สำหรับเด็ก ๆ นับว่าไกลมากและเหนื่อยมากกับการไปแบกไม้มาสร้างโรงเรียน ที่ใกล้ป่าช้า
ตั้งชื่อว่าโรงเรียนคุรุราษฎร์สามัคคี
ใหม่ ๆ ก็สร้างเป็นแบบเพลิงหมาแหงน ตั้งม้ายาวกับพื้นดิน หลังคามุงด้วยหญ้าคา ฝาล้อมด้วยฝาแตบตอง[3]
การเรียนก็อยู่ในเกณฑ์ดี แต่เราเป็นคนขี้อายมาก ไม่กล้าพูดคุยกับใคร เป็นคนเก็บตัว เล่นอยู่คนเดียว เพราะมีปมด้อยมาแต่กำเนิด เกิดมาในครอบครัวที่ยากจน ไม่มีอาหารกลางวันกินเหมือนคนอื่น เพราะสมัยนั้นต้องห่อข้าวไปจากที่บ้าน แต่เราไม่มีข้าวให้ห่อ [4]
จึงได้แต่มองเพื่อน ๆ เขากินข้าวตอนกลางวัน
ไม่เคยมีเสื้อผ้าดี ๆ ใส่ ใส่แต่เสื้อผ้าปะตูด
อยากเป็นลูกเสือ ก็ไม่มีเงินซื้อหมวก กับหน้าเสือ ( สำรอง ) และเข็มขัดลูกเสือ
เป็นคนผอม ๆ ประเภทขาดสารอาหาร เล่นแต่กับญาติ ๆ ของตัวเองเท่านั้น จึงมักถูกคนอื่นรังแกอยู่ตลอดเวลา
วิชาพลศึกษา เป็นวิชาที่ไม่ชอบ ไม่เอาใจใส่ นอกจากถูกบังคับให้เรียน เพราะวิ่งทีไรครูเรียกตำรวจทุกที เพราะได้ทีโหล่เป็นประจำ ไม่เคยได้เข้าร่วมแข่งกีฬาใด ๆ กับเขาเลย
การเรียนเป็นไปอย่างกระท่อนกระแท่น เพราะโยมพ่อเริ่มอาละวาด
ไม่ยอมให้ไปเรียนด้วยหาว่าถูกเพื่อนรังแก
และพาเดินทางไปอยู่บ้านทุ่งมนเสียเกือบปี [5]
เมื่อกลับมาก็เป็นเวลาสอบปลายปี
ยังดีที่ครูใหญ่เข้าใจอนุญาตให้สอบเลื่อนชั้น ป.4 ได้
ทั้ง ๆ เกณฑ์เวลาเรียนนั้นไม่มีสิทธิ์สอบแน่นอน
ผลการสอบปรากฏว่าสามารถผ่านขึ้นไปเรียนชั้น ป.4 ได้แบบหวุดหวิด
ครูจะช่วยบวกคะแนนด้วยหรือเปล่าไม่ทราบได้
จากนั้นก็พยายามเรียนจนจบชั้น ป. 4 ด้วยผลสอบเป็นอันดับที่สองของห้องและของชั้น
จบ ป.4 แล้วพ่อก็พาตระเวนไปทางสกลนคร นครพนมและหลายต่อหลายแห่ง อันเป็นที่มาของ
“จากทุ่งนาถึงป่าคอนกรีต”
ที่ท่านอ่านกันอยู่ในขณะนี้
[1] ป้าแก้ว เป็นลูกของย่าทิดไหม ซึ่งเป็นพี่สาวของปู่พิมพ์ จึงมีศักดิ์เป็นพี่สาวของพ่อและเป็นป้าของเราไปด้วย เราเป็นญาติสนิทและนับถือกันมาก
[2] เป็นโรงเรียนแต่ไม่มีอาคารเรียน อาศัยศาลาวัดเล็ก ๆ เป็นอาคารเรียน โดยใช้กระดานดำกั้นระหว่างห้อง มีครูสองคน คือ คุณครูยงยุทธ วรรณหอม ( ครูใหญ่ ) กับ คุณครูก้าน พลนาคู เป็นครูสอนคนละสองชั้น
[3] เอาใบตองกุง ( พื้นบ้าน ) มาวางในตอกไม้ไผ่ สานเป็นตาห่าง ๆ ประกบกันสองข้าง ใช้ตอกผูกให้แน่น เป็นฝาบ้านของคนจน : ผู้เขียน
[4] ดูกินกลอยต่างข้าว
[5] ดูทุ่งมนมีมนต์ขลัง
ไม่มีความเห็น