ผมได้เล่าเรื่องการประชุม IAC ของรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ปี ๒๕๕๔ ไว้ที่นี่การประชุมจัด ระหว่างวันที่ ๒๖ - ๒๘ ต.ค.๕๔ ผมชมคุณผึ้งว่า ปีนี้แฟ้มประชุมครบถ้วนสมบูรณ์เป็นพิเศษ และคณะกรรมการ SAC ก็ทำการบ้านมาดีเป็นพิเศษ ช่วยให้การประชุมสะดวกขึ้นมาก แต่ก็เป็นการประชุมในสถานการณ์ที่ผู้คนระทึกขวัญกับเหตุการณ์น้ำท่วม กรรมการ SAC ท่านหนึ่งคือ อ. หมอปรีดา ออกจากบ้านไม่ได้ โดนน้ำล้อมรอบ อีกท่านหนึ่งคือ ศ. นพ. ประเสริฐ เอื้อวรากุล ติดป้องกันน้ำท่วมบ้าน แต่เหตุการณ์น้ำท่วมทำให้กรรมการ SAC มาร่วมประชุมได้คับคั่ง เพราะการประชุมอื่นงด สังเกตได้ว่าห้องประชุมของโรงแรมโอเรียนเต็ลเงียบเหงา ไม่คึกคักอย่างตอนเรามาประชุมปีก่อนๆ
ปีนี้มีผู้ได้รับเสนอชื่อ ๗๖ คน และมีชื่อที่เราเก็บมาจาก ๓ ปีก่อน อีก ๔ คน SAC เสนอชื่อที่เป็น strong candidate จำนวน ๘ คน และเตรียมคนเขียน recommendation ของ strong candidate แต่ละคนเสนอ IAC ทางอีเมล์ตั้งแต่เดือนที่แล้ว และทำแฟ้มแจกในวันนี้ด้วย และตอนนำเสนอ ก็มี PowerPoint ประกอบด้วย
กรรมการ IAC มีทั้งหมด ๑๓ คน เป็นคนไทย ๔ คน มาประชุมทั้งหมด ๗ คน เป็นคนไทย ๓ คน กรรมการ ๓ ท่านไม่อยู่ในสภาพที่จะมาประชุมได้เพราะอายุมาก สุขภาพไม่ดี แต่ที่มาประชุม ๗ คน ก็ทำงานได้อย่างมีคุณภาพสูงมาก
ข้อเรียนรู้อย่างมากสำหรับผมคือรายละเอียดของวิธีคิด ที่เล่าลงรายละเอียดไม่ได้ เป็นความลับที่ไม่ควร เอามาเปิดเผย บอกได้เพียงว่า เป็นเรื่องของการช่วยกันป้องกันอคติส่วนตัวของกรรมการบางคนต่อ candidate บางคน
นอกจากนั้น สิ่งที่ควรเอามาบันทึกเป็นข้อเรียนรู้สำหรับนักวิชาการและสังคมไทยก็คือ candidate คนหนึ่งถูกผู้ใกล้ชิดกล่าวหาว่า ตอนที่ทำงานวิจัยเรื่องที่เราจะให้รางวัล (เกือบ ๕๐ ปีมาแล้ว) มี นศ. ปริญญาเอกทำวิทยานิพนธ์เรื่องนั้น และตอนตีพิมพ์อาจารย์ใส่ชื่อตนเองเป็นชื่อแรก ไม่ใช่ชื่อนักศึกษา กรรมการเห็นพ้องกันหมด (ในคณะกรรมการที่มาประชุม ๒ คนได้รับรางวัลโนเบล) ว่าหากตรวจสอบกับแหล่งที่เชื่อถือได้ ว่าข้อกล่าวหานี้เป็นจริง ก็จะต้องไม่ให้รางวัล คือเรื่องแบบนี้จากแหล่งเดียวยังถือเป็นข้อยุติไม่ได้ ต้องสืบหาข้อมูล (ซึ่งทำยากมาก) จากแหล่งอื่นด้วย หากจริงก็ถือเป็นเรื่องคอขาดบาดตายทางจริยธรรม
การทำงานพิจารณาตัดสินรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล มีความละเอียดลออเป็นระบบขึ้นเรื่อยๆ และมีข้อเรียนรู้มากขึ้นเรื่อยๆ ว่า ต้องทำงานอย่างมีข้อมูลหลักฐานยืนยัน (evidence-based) ในปีก่อนๆ ผมเห็นกรรมการที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ด้าน bio-medical เรียกหา evidence แล้วผมก็งงว่าเขายอมรับเฉพาะ scientific evidence ที่เป็น hard science เท่านั้นหรือ มาปีนี้ก็เบาใจ เมื่อเขาเอาคนที่เขาเคย reject ไปแล้วในปีก่อน เอาไปถามผู้รู้ในสาขานั้นในประเทศของเขา และถือว่าความเห็นของคนที่น่าเชื่อถือเป็น peer opinion ที่จัดเป็น evidence ได้ และ evidence ของการเอาผลงานไปใช้แพร่หลายก็ดูจากการที่ประเทศสำคัญๆ เอาไปใช้กับทั้งระบบ ของประเทศ นี่เป็นข้อเรียนรู้ที่ผมประทับใจทั้งต่อหลักการ และต่อตัวบุคคลที่มีความตั้งใจและรับผิดชอบในการ ทำหน้าที่กรรมการอย่างแข็งขัน
กรรมการเห็นพ้องกันว่า ใบเสนอชื่อ (Nomination Form) ที่ใช้อยู่ ยังไม่ดีพอ ที่จะให้ผู้เสนอชื่อลง รายละเอียดที่ให้ข้อมูลหลักฐานชัดเจน ง่ายต่อการพิจารณาผลงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลงานทางด้านสาธารณสุข ซึ่งมีความซับซ้อน และบางกรณีหาข้อมูลหลักฐานยาก ศ. ลูคัส ผู้เชี่ยวชาญด้านการคิดหลักการเสนอให้มี หมายเหตุที่แบบฟอร์มว่า ขอให้ระบุหลักฐานที่แสดงผลงานที่นอกเหนือจากการทำงานตามโปรแกรมที่ candidate รับผิดชอบ ที่นำไปสู่ผลงานที่
๑. สร้างความรู้ใหม่ เช่น ค้นพบสาเหตุใหม่ของโรคหรือความเจ็บป่วย หรือปัจจัยเสี่ยงใหม่
๒. สร้างเทคโนโลยีใหม่ สำหรับการป้องกันหรือควบคุมโรค หรือเพื่อสร้างเสริมสุขภาพ
๓. พัฒนายุทธศาสตร์ที่เป็นนวัตกรรมสำหรับระบบสุขภาพ ที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผลดี
ขั้นตอนของการตัดสินที่ยากยิ่ง คือค้นหาหลักฐานเพื่อตัดสินใจว่า ในการทำงานสร้างความก้าวหน้า ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งนั้น ตามปกติจะมีคนทำงานหลายกลุ่มหลายคน ใครคือคนที่เด่นที่สุดที่ควรได้รับการยกย่อง มีหลักคิดอย่างไรที่จะให้เมื่อประกาศให้รางวัลออกไปแล้วไม่โดนวิจารณ์แย้งว่าให้ผิดคน คือถูกเรื่องแต่ผิดคน เราหลงไปให้คนที่เป็นรอง ไม่ใช่คนที่เด่นที่สุด เมื่อไรแยกไม่ออกต้องให้รางวัลคู่หรือ ๓ คน เพราะเขาทำด้วยกัน จริงๆ กรรมการที่ชำนาญถามว่าชื่อผู้เป็นเจ้าของสิทธิบัตรมีกี่ชื่อ
หลักการคิดหาตัวบุคคลที่จะให้รางวัลมีหลัก ๓ ขั้นตอนคือ
๑. discovery หรือ etiology
๒. epidemiology
๓. development of method / product
ตอนพิจารณาเรื่อง Rotavirus เราถกกันมากว่าใครบ้างมีบทบาทต่อการลดอัตราตายในเด็กจากโรค ท้องร่วงเนื่องจากเชื้อตัวนี้ แยกออกมาให้เหลือ ๒ คนตามเกณฑ์ของการให้รางวัลไม่ได้ จนในที่สุดก็ต้องตัดสินใจให้แก่ผู้ค้นพบเชื้อและศึกษายืนยันหลักฐานว่าเป็นสาเหตุสำคัญของโรคท้องร่วงในเด็ก คือ Ruth F. Bishop แห่งมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น ออสเตรเลีย
ผมได้เรียนรู้เรื่อง community-directed health intervention ว่าบทบาทของชุมชนมากกว่า community-based และในประเทศกำลังพัฒนาต้องการปฏิบัติการสาธารณสุขแนวนี้ คนที่ริเริ่มและดำเนินการจนเกิดความ สำเร็จอย่างชัดเจนในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างเป็นรูปธรรม อยู่ในข่ายที่จะได้รับรางวัล โดยถือว่าเป็นการสร้าง เทคโนโลยีใหม่ ที่เป็นนวัตกรรมด้านการพัฒนาสุขภาพ
อุดมการณ์ของรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล คือการส่งเสริมแรงบันดาลใจของผู้คนให้มุ่งมั่นทำงานเพื่อ ประโยชน์ของมนุษยชาติ ซึ่งในกรณีนี้คือประโยชน์ด้านสุขภาพ กรรมการ IAC ท่านหนึ่งบอกว่าความหวังอยู่ที่ อนาคต ซึ่งหมายถึงบทบาทของคนรุ่นใหม่ เขาอ่านเอกสารแจ้งเพื่อทราบเรื่องโครงการเยาวชนแล้วก็แนะว่า ต้องเพิ่มจำนวนผู้ได้รับพระราชทานทุนจาก ๕ คน ให้มีจำนวนมากขึ้น ซึ่งผมคิดว่า ควรขยายไปที่วิชาชีพอื่นด้วย โดยต้องมีกลไกการจัดการที่ดี เวลานี้ โครงการเยาวชนของสาขาแพทย์ปีละ ๕ คน มีระบบการจัดการที่ถือว่า เข้มแข็งมาก
เราเห็นโอกาสใช้มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ทำประโยชน์ในการสร้างคน ให้แก่วงการสุขภาพไทย มากกว่าที่เป็นอยู่ แต่คอขวดอยู่ที่กลไกการจัดการ
ผมได้รับคำแนะนำให้รู้จัก Kavli Prizeของนอร์เวย์ สำหรับศึกษาวิธีการสร้างให้รางวัลเป็นที่รู้จัก กว้างขวาง ซึ่งที่จริงผมไม่สันทัดในเรื่องการประชาสัมพันธ์ และเรื่องนี้ไม่ใช่หน้าที่ของผม แต่ก็คงต้องช่วยๆ กันศึกษาและออกความเห็น
พิธีประกาศชื่อผู้ได้รับรางวัลจัดเมื่อวันที่ ๑๔ ธ.ค. ๕๔ ดังมีรายละเอียดอ่านได้ที่นี่
วิจารณ์ พานิช
๒๙ ต.ค.๕๔ ปรับปรุง ๑๑ ธ.ค. ๕๔
ไม่มีความเห็น