รักอุบัติ ทุกข์อุบัติ


รักแท้คือเมตตา

 

 

 

"เพื่อนทุกข์"



บทที่ ๗

รักอุบัติ ทุกข์อุบัติ 

 

            ทุกข์เป็นของคู่ตัวมาแต่ไหนแต่ไร  เป็นสิ่งที่เกิดมากกว่าสุข  ลองถามผู้คนใกล้ชิดรอบตัวเราก็ได้ว่า  มีห้วงเวลาแห่งทุกข์หรือสุขมากกว่ากัน  ดังนั้น ไม่ว่ามองไปทางใด เราจึงพบแต่ผู้คนที่เต็มไปด้วยทุกข์  ซึ่งก็แน่นอนว่า  ย่อมหมายรวมเรานั้นด้วย แต่โบราณมา จึงมีแต่ความเชื่อเรื่องการเวียนว่ายในทะเลทุกข์ ส่วนทะเลสุขอยู่ที่แห่งใดนั้น ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีการกล่าวไว้

          เมื่อเราต้องอยู่กับทุกข์เสมอ  ก็แล้วทุกข์จริงๆ เป็นอย่างไรเล่า ในทางศาสนา ท่านว่าทุกข์คือความทนอยู่ไม่ได้  หรือเป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องร้อนรน เศร้าหมอง พร่ำย้ำเตือนและหาทางออกไม่ได้  เราพบเจอกับสิ่งที่เราไม่ชอบก็เป็นทุกข์  เราไม่พบเจอสิ่งที่ชอบก็เป็นทุกข์  การหาว่าความสุขอยู่ในช่วงใดของชีวิตจึงเป็นสิ่งที่ยากยิ่ง เพราะเวลาส่วนใหญ่ของคนเรา มักใช้ไปเพื่อปรนเปรอความทุกข์กันเสียมาก

          จริงๆ ความสุขของเราก็อาจจะหาได้ง่าย เช่น การที่เรามีความรักต่อใครสักคนหนึ่ง  เขาผู้นั้นย่อมเป็นเป้าหมายแห่งพลังทั้งมวลของเรา  แต่ความรักทั่วๆ ไปนี้ ท่านก็ว่าเป็นตัณหาอย่างหนึ่ง  เมื่อความรักเกิด ความห่วงความกังวลก็เกิด ประตูแห่งความทุกข์จึงเปิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  อาจมีผู้สงสัยบ้างก็ได้ว่า  ขณะที่เรารักใครสักคน โลกจะหวานหอม ทุกอย่างดูละมุนละไมไปเสียสิ้น  แล้วทุกข์จะเกิดขึ้นตอนใดเล่า  คำตอบก็คือ ทุกข์ก็ย่อมเกิดขึ้นขณะนั้นเอง  เพราะในขณะที่เรามีความรัก เราก็มักจะกังวล ห่วงใย น้อยใจ ฯลฯ คนรักของเราไปพร้อมกันด้วย เรามักพะวงว่า จริงๆ แล้ว เขารักเราจริงหรือไม่ เขาห่วงใยเราหรือไม่  เขาคิดถึงเราอยู่หรือไม่  เราเป็นที่หนึ่งสำหรับเขาในทุกข์กรณีหรือไม่ ความกังวลเช่นนี้ ไม่อาจทำให้เกิดอะไรอื่นไปได้ นอกจากความทุกข์อันร้อนรน  ที่พร้อมจะเผาผลาญใจของเราอยู่ตลอด

          ความรักของเราได้แปรเปลี่ยนไปเสียแล้ว อะไรบ้างหรือ? รักได้เปลี่ยนเป็นความหวาดระแวง  เป็นความหึงหวง เป็นความไม่ไว้วางใจ เป็นความขุ่นข้องต่างๆ  นี่จึงเป็นสภาพแห่งทุกข์  เป็นสภาพที่เราไม่อาจจะทนได้  โลกใบนี้ เพลงเศร้าที่เกิดจากความชอกช้ำในรัก จึงดังและเร้าความรู้สึกของเราได้ดีกว่าเพลงสุขในเทศกาลต่างๆ  จริงๆ แล้วจึงเป็นไปได้หรือไม่ว่า  เราพึงพอใจกับความทุกข์ และมักจะตอกย้ำตนเองให้ทุกข์มากขึ้นไปเมื่อมีโอกาส

          คงต้องภาวนามิให้เป็นเช่นนั้น  เพราะความทุกข์มิใช่สิ่งที่นำความยินดีมาสู่  แต่ถ้าบอกว่ามีรักแล้วมีทุกข์ คำกล่าวนี้ก็ไม่ต่างจากการกักกันมิให้เรามีความรักมิใช่หรือ แล้วถ้าหากเรามีความรักเสียแล้วล่ะ  เราก็ไม่อาจตัดทุกข์ได้กระนั้นสิ

          คำตอบที่อาจจะฝืนกับความรู้สึกก็คือ “จริง” เพราะรักของปุถุชนคือตัณหาที่จะนำไปสู่การเกิดของทุกข์  เพราะระหว่างที่เรารัก ความรักของเราย่อมเกิดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่  ไม่ต่างไปจากปราสาทแต่เป็นปราสาทที่ไร้รากฐานที่มั่นคง เพราะเราตั้งความหวาดระแวงของเราเป็นเสาเข็ม  และตอกซ้ำลงไปด้วยแรงของความหึงหวงและความเป็นเจ้าของ ทั้งนี้ก็เพื่อมิให้ผู้ที่เรารักต้องตกไปเป็นของผู้อื่น  ความรักเช่นนี้ สักวันหนึ่งก็ต้องถล่มพังทะลายลงมา  และอาจจะสร้างบาดแผลแก่ผู้ที่ช้ำรัก ซึ่งเป็นอาการบาดเจ็บที่ร้ายแรงและไม่อาจเยียวยาได้

          เมื่อรักปุถุชนเกิดผลเป็นความทุกข์ แล้วรักประเภทใดเล่าที่จะคงทนและสง่างามอยู่ได้ในความเปลี่ยนแปลง  ในคติมหายาน  พระพุทธองค์สรรเสริญรักประเภทหนึ่ง นั่นก็คือรักที่ไม่หวังผลตอบแทน รักที่แผ่เผื่อไปยังผู้ตกทุกข์ได้ยากหรือทุกๆ คนที่อยู่รอบข้าง รักเช่นว่านี้ก็คือรักแบบเมตตา  รักด้วยความปรารถนาดีอันเกิดจากใจบริสุทธิ์ ที่ไม่คาดหวังว่า ผู้ที่ได้รับรักจะต้องรักตอบ  หรือแสดงอะไรบางอย่างเพื่อตอบแทนความรักของเรา  การรักโดยไม่หวังผลเป็นรักที่กระทำได้ยาก แต่ก็นับว่าน่าสรรเสริญยิ่ง  ดังที่พระพุทธเจ้าได้สรรเสริญ “พระกษิติครรภโพธิสัตว์” หรือพระมาลัยในคติเถรวาทไว้ในมูลปณิธานสูตรว่า  พระโพธิสัตว์ได้ตั้งปณิธานไว้อย่างน่าสรรเสริญว่า  “ข้าพเจ้าจะต้องโปรดสรรพสัตว์ทั้งหลาย ให้หลุดพ้นจากห้วงทะเลทุกข์ให้หมดสิ้น จึงจะขอบรรลุสู่พุทธิภูมิ  หากแม้นนรกอเวจียังไม่ว่างเว้นจากเวไนยสัตว์  ข้าพเจ้าก็จะยังไม่สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า”  ผู้ที่มีความรักความเมตตาอันยิ่งใหญ่ดังเช่นพระโพธิสัตว์พระองค์นี้ จึงนับว่าหาได้ยากยิ่ง    ความรักของพระองค์จึงเป็นรักอันอุดม เอกอุ เป็นหนึ่งไม่มีสอง  เพราะพระองค์มีเมตตาที่จะฉุดช่วยทุกชีวิตให้พ้นจากทุกข์ ซึ่งก็ไม่ทราบว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าใดจึงจะสำเร็จได้  ทรงแลกชีวิตกับผู้ที่พระองค์ไม่รู้จัก ทรงยินยอมที่จะรับความทุกข์ยากของผู้อื่นมาเป็นของตนเอง  ความรักเช่นนี้เป็นความรักของพระโพธิสัตว์ จึงมั่นคงและปรากฏอยู่เป็นอนันตกาล 

          รักอุบัติ ทุกข์อาจอุบัติ  แต่หากเป็นรักเมตตาอุบัติ สันติสุขก็ย่อมจะอุบัติตามมาด้วย  จงรู้ทุกข์ในความรัก และปรับเปลี่ยนทัศนคติต่อความรักให้เป็นความเมตตา ให้เป็นเหมือนฟ้าที่มิได้มีแสงแดดแผดกล้าแต่เพียงอย่างเดียว แต่เป็นฟ้าใหญ่กว้างมีแฝงไว้ด้วยละอองไอน้ำอันฉ่ำเย็น ที่พร้อมจะกลั่นตัวเป็นสายวรุณอันบริสุทธิ์  ซึ่งสามารถฉุบฉุดทุกชีวิตที่อาจตายไปแล้วให้ฟื้นคืนขึ้นมาได้ 

 

_____________________________

หมายเลขบันทึก: 470518เขียนเมื่อ 6 ธันวาคม 2011 21:16 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 มิถุนายน 2012 17:52 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)
  • "รักเหนือรัก" คือรักแบบเมตตาปราศจากตัณหาย่อมนำพา
    ให้สุขอุุบัติแท้ทุกข์นะคะ
  • ขอบพระคุณค่ะ

    "ธรรมทิพย์เห็นจริงแล้ว       งดงามเพริศแพร้ว

ในหล้าแหล่งอนารยะ

      เห็นซึ่งทุกข์พุทธะ            เป็นหนึ่งสัจจะ

ที่ยากที่ท้อเข้าถึง

      รักใดในโลกฉุดตรึง           ย่อมแพ้รักซึ่ง

หวานล้ำนำด้วยเมตตา

       เป็นรักแห่งมหาอาณา        โพธิสัตว์มหา

ผู้มาสู่โลกอาธรรม์

        ขอธรรมทิพย์สุขนิรันดร์      พบโลกในฝัน

ที่งดที่งามรองเรือง

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท