ช่วงน้ำท่วมผมมีโปรแกรมได้รับเชิญไปบรรยาย ไปประชุมต่างจังหวัดแทบทุกสัปดาห์ ได้นั่งเครื่องไป-กลับคนเดียวเป็นว่าเล่น ดูจะเห็นแก่ตัวไปหน่อย ปล่อยให้ทางบ้านต้องใจหายใจคว่ำลุ้นว่าเมื่อไรน้องน้ำจะเข้ามา ก็เรียบร้อยไปหนึ่งหลัง ยังดีที่พอจะมีที่ซุกหัวนอนอีกหลังหนึ่งที่น้ำไม่ท่วม
รอให้น้ำลดร่วมสองเดือน เห็นใจทางบ้านที่ไม่ได้ไปไหน เลยเสนอโปรแกรมให้เลือกว่าจะไปไหนดี แรกทีเดียวว่าจะไปประเทศเกาหลีกัน แต่ก็กระชั้นชิดเกินไป โรงเรียนก็ใกล้จะเปิดแล้ว เลยเสนอโปรแกรมให้ไปเที่ยวในประเทศกันหลายๆแห่ง
พัทยาก็เพิ่งไปกันมา ในที่สุดก็ตกลงกันว่าจะไปจังหวัดอุบลราชธานี เพราะดูจากอินเทอเน็ตแล้วมีสถานที่น่าเที่ยวหลายแห่ง เราไปกันเมื่อเมื่อวันที่ 29 พ.ย.-1 ธ.ค.ใช้บริการนกแอร์ทั้งไปและกลับ อยากจะนั่งรถไฟชมทิวทัศน์ข้างทางเหมือนกัน แต่ดูเวลาแล้วนานเหลือเกิน คนแก่อย่างเราคงทนทรมานไม่ไหว
พักที่โรงแรมสุนีย์แกรนด์ สะดวกสบายมาก มีห้างสรรพสินค้าในตัว ไม่อยากรบกวนเพื่อนฝูงเลยใช้บริการรถตู้เหมารายวัน เราเลือกไปสถานที่สำคัญๆที่อยากไปหลายแห่ง รูปถ่ายที่ลงในบันทึกก็มีแต่ของตัวเอง เห็นแก่ตัวชะมัด(รู้ตัวเหมือนกัน)เพราะนี่มันเป็นสิทธิส่วนบุคคลไงล่ะ
ได้ไปวัดหนองป่าพง ที่วารินชำราบ ไปกราบหลวงปู่ชาซึ่งพวกเราเคารพบูชา และเพิ่งได้อ่านหนังสือที่เขียนถึงท่านมาหยกๆ
จากนั้นก็มุ่งตรงไปด่านช่องเม็ก ให้ได้ชื่อว่าไปต่างประเทศ(ลาว) โชคดีที่เจ้าของรถตู้ที่เราเหมาคือดาบตำรวจวันชัย เป็นหัวหน้าด่านนี้พอดี เลยพาเราเดินฉลุยโดยไม่ต้องทำบอดี้พาส(อภิสิทธิ์) เดินเข้าไปดูชาวบ้านเอาของมาวางขายกันประปราย ด่านชองเม็กวันนี้ต่างจากเมื่อยี่สิบกว่าปีที่ผมเคยมาอย่างมาก ถนนหนทางก็ขยายกว้างขึ้นหลายเลน เพื่อเตรียมต้อนรับสู่ประชาคมอาเซียน
ตามเส้นทางที่ไป ก็ได้แวะเข้าชมภายในเขื่อนสิรินทร ภายในดูสงบเงียบ ไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามา เพราะเป็นวันธรรมดาไม่ใช่วันหยุด แต่ริมถนนนอกเขื่อนยังมีเต้นท์ของผู้มาประท้วงกางอยู่เรียงราย เห็นป้ายๆหนึ่งเขียนต่อต้านพลังงานนิวเคลียร์ ผมก็เลยไม่รู้ว่าเขาประท้วงอะไรกันแน่
จากนั้นก็ไปเขื่อนปากมูล ที่เคยได้ยินข่าวสารว่าประท้วงกันมานาน จนมีตำนานของยายฮายที่ดังกระฉ่อน แต่ตอนนี้เงียบเหงาจัง เดินทางต่อไปอีกหน่อยก็เข้าไปในอุทธยานแห่งชาติแก่งตะนะ ต้องเสียค่าเข้าชมด้วย(สามารถนำตั๋วไปเข้าที่ผาแต้มได้อีกแห่งด้วย) ที่แก่งตะนะบรรยากาศร่มรื่น สายน้ำไหลผ่านโขดหิน(แก่ง)ดูสบายตา สบายใจมากๆ
รถพาเราเข้ามาที่โขงเจียม ไปดูแม่น้ำสองสี ที่แม่น้ำมูลไหลมาเจอแม่น้ำโขง ยี่สิบกว่าปีก่อนผมได้เห็นแม่น้ำเป็นสองสีจริงๆ คือโขงสีปูน มูลสีคราม แต่เที่ยวนี้เพิ่งผ่านพ้นอุทกภัยมาหมาดๆ เลยเห็นสีปูนสีเดียวทั้งสองแม่น้ำ
ไปต่อที่ผาแต้ม ผ่านเสาเฉลียง แวะถ่ายรูป นิดหน่อย แดดร้อนมาก เพราะเป็นเวลาเที่ยง(ไม่รู้เวล่ำเวลา เขามาเที่ยวตอนเช้าๆหรือตอนค่ำๆกัน) อยู่ไม่นานก็เดินทางกลับ แวะทานอาหารปลาสดๆของริมโขง อร่อยจัง ถูกด้วย
รถเขาชวนไปเที่ยวน้ำตกสร้อยสวรรค์ ที่มีความงดงามของดอกไม้ป่า 5 ชนิด คือ ดุสิตา สร้อยสุวรรณา ทิพเกสร มณีเทวา และสรัสจันทร แต่ผมบุญไม่ถึง พอรู้ว่าไปกลับอีกร่วม 80 กิโล เลยยอมสละสิทธิ์เพราะเริ่มจะมีอาการไข้ขึ้นตามประสาคนแก่ที่สำออยเมื่อโดนแดดจัด
กลับมาแวะที่แก่งสะพือ อำเภอพิบูลมังสาหารอีกพัก ซึ่งน้ำท่วมจนไม่เห็นแก่งแล้ว(เหมือนหาดวัดใต้) แล้วก็กลับมาที่พัก วันรุ่งขึ้นก็ได้ไปที่ยวชม ซื้อของในตัวเมืองกันอีก เหนื่อยแต่ก็สนุกทีเดียว
ที่เคยมีคนบอกว่า "รีบๆเที่ยวเสียตอนนี้ แก่ไปกว่านี้จะเที่ยวไม่ไหว" เห็นสัจธรรมก็ตอนนี้เอง
สวัสดีค่ะท่านอาจารย์
คงผ่านพ้นวิกฤติน้ำ และพบฟ้าหลังฝน งดงามแล้วนะคะ
มาชมบรรยากาศเมืองดอกบัว เป็นอีกเส้นทาง ที่ประทับใจ
และหวังว่า สักวันจะได้พาคู่รักวัยดึกไป รับตะวันขึ้น ริมโขง
ขอบคุณบันทึกนี้ และสุขสันต์วันพ่อ ค่ะ
ชื่อเหมือนลูกสาวคนโตของผมเลย (ชื่อเดียวกับนายกฯด้วย)