นายหัว
นาย เจ้าชาย ณ เมืองห้วยแร่

ไม่ใช่คนบ้า…แต่เขายอมรับความจริงไม่ได้


ยอมรับความจริงไม่ได้

ไม่ใช่คนบ้า…แต่เขายอมรับความจริงไม่ได้

ทุกๆคนย่อมมีความใฝ่ฝัน ย่อมมีจินตนาการที่โลดโผนอยู่ตลอดเวลา ทุกๆชีวิตย่อมมีเป้าหมายในการดำรงอยู่และเป็นไป ความเป็นมาและความเป็นไปยังคงอยู่และไม่สลายไปไหน ตราบเท่าที่ดวงตะวันยังขึ้นทางทิศตะวันออกเช่นเดิม

หลายสิบปีทีเดียวที่กระผมได้ทราบข่าวคราวเกี่ยวกับเรื่อง การเรียน การศึกษาและเรื่องมหาลัย  ในยามเย็นๆ ที่กระท่อมข้างบ้านกระผม กับบรรยากาศสบายๆ แขวนวิทยุเก่าๆ ที่ยังใช้บริการได้ มันยังคงแหกปากได้จนทุกวันนี้ ในวันนั้นวันเก่า บทเพลงได้บรรเลงขึ้น แว่วมา” มหาลัย มหาหลอก เด็กชายบ้านนอก เด็กหญิงบ้านนา “ [ของวงคาราบาว] ด้วยความที่ฟังแล้วพอรื่นหู จึงชอบและฟังเสมอๆโดยมิได้ใคร่ครวญอันใดมากไป ด้วยความที่สมองและปัญญาอยู่ในวัยขวบไร้เดียงสา

มาปัจจุบันสภาพการเป็นนักศึกษาของกระผมใกล้วาระสิ้นสุดเต็มแก่แล้ว กับปอเอ่ย ป.ตรี  ในมหาลัย เราทราบว่ามหาลัยคืออะไร?  มหาลัยคือ แหล่งศึกษาความรู้และวิชาการระดับอุดมศึกษา ที่ๆหนึ่งที่มีคนหนุ่มสาว พวกเขาเองหรือสังคม เรียกว่าพวกเขาว่า ปัญญาชน  ผู้คนที่ได้สร้างประวัติศาสตร์ต่อสังคมบ้านเมืองนี้อย่างมากมาย ไม่ว่า เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516, เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 , เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 35 ที่กล่าวมาล้วนเป็นผลงานส่วนหนึ่ง เป็นผลงานจากนักล่าปริญญาตัวน้อยเหล่านั้น

คนเปลี่ยน สังคมเปลี่ยน ความคิดเปลี่ยน เปลี่ยนจักรวาลได้ สภาพแวดล้อมที่มีแต่ความสะดวกสบายได้หลอกลวงนักล่าปริญญาในวันนี้ ให้จมอยู่กับความว่างเปล่าและไร้แก่นสาร เราลอยคออยู่กับการช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ มีปัญหา เอะอะก็โทรไปขอตังค์ แม่ ! โอนตังค์ให้หน่อย !

กระผมได้ยินวาทะอมตะของนักสู้ยุคฟ้าสีทองได้กล่าวไว้ว่า..”ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ม ฉันจึงมาหาความหมาย ฉันหวังอะไรตั้งมากมาย สุดท้ายได้กระดาษแผ่นเดียว” [วิทยากร เชียงกูล] วันนี้ปัญญาชนเปลี่ยนไป การต่อสู้ทางปัญญาที่แปลกแยก การต่อสู้ทางยุคสมัย ระหว่างปัญญาชนยุคเก่าและปัญญาชนยุคปัจจุบัน วิถีและยุทธศาสตร์ตาลปัตรเสียแล้ว อดีตที่เคยต่อสู้เพื่อสันติภาพและเสรีภาพ ส่วนรวม สังคม ประชาชนและประเทศชาติ ภาพเก่าได้บิดเบี้ยวไปอย่างหนัก กลับกลายมาเป็นภาพปัจจุบันที่มีการต่อสู้ร่วมกันกดไลท์ Facebook อวดสถานะ เบื่อๆว่างๆก็มาเม้นๆ โพสต์ๆ การแข่งขันว่าทำอย่างไรให้มีBB ไว้คล้องคอ เอาไว้แทนจตุคามรามเทพ เพราะดูแล้วศักดิ์สิทธิ์มาก และมากขึ้นทุกวัน ยิ่ง I –Pad หรือ I- Phone ก็ดูขลังขนาดหนัก ถึงขั้นถอดกระโปรง ถอดกางเกง เพื่อหาปัจจัยร่วมสมทบทุน เช่าเอามาภาวนาเช้า เย็น ก่อนนอน หรือ แทนการหายใจเข้าออก

ที่กล่าวไปไม่ใช่ว่าดูถูกตัวเองอะไรมากไปนัก แต่ที่กล่าวไปคือความจริงที่ขมขื่น สติปัญญาตื้นเขินขึ้นทุกวันอย่างรุนแรง สภาพนักศึกษาที่จบออกมา ประกันด้วยปริมาณที่เพิ่มขึ้นมากโข แต่เรื่องคุณภาพเอาไว้คุยที่หลังแล้วกัน เป็นอันว่าคุณจ่ายเราครบ คุณจบแน่ ฟันธง!  สภาพการว่างงานและการไม่อยากทำงานของบัณฑิตต่างๆที่เพิ่งจบมา จบมานานแล้ว หรือใกล้จะจบ การมาวนเวียนตามหอพักต่างๆ หรือบริเวณมหาลัย การมาสิงสถิตตามหอพักน้องๆ การนอนในเวลากลางวัน กลางคืนกับซู่ซ่า เล่นเกมส์ เที่ยว กินน้ำชา หรือไม่ก็…ฯลฯท่านคิดอย่างไรปัญญาชนรุ่นใหม่

มหาลัยปัจจุบันสอนให้เรายอมรับความจริงไม่ได้ เรายังเรียน ยังสอนกันแบบนกแก้ว นกขุนทอง อาจารย์มหาลัยก็แข่งขันแต่สัมมนา ดูงาน ทำวิจัย จนนักศึกษาว่างจัด และเรียนกันแบบหลักสูตรลัด แค่เทอมละไม่กี่สัปดาห์ หรือบางทีนับครั้งการสอนได้แม่น เรื่องคุณภาพไม่ต้องพูดถึง คนเราขี้เกียจเป็นนิสัยติดตัวอยู่แล้ว เมื่อสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวยให้ขี้เกียจ คงยากมากที่จะหลีกหนีวัฏจักรความขี้เกียจแบบเรื้อรังไปได้พ้น กล่าวคือคุณภาพการขี้เกียจคับแก้ว

เป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ คือการสอนให้เรามีแต่ความรู้อย่างเดียว แต่ไม่สอนให้เราเป็นคนดี ไม่สอนให้เราเป็นคนทำงานเป็น สอนให้เราพูดได้แต่ไม่สอนให้เราพูดเป็น ไม่สอนให้เราทำประโยชน์ให้สังคม เรามาเน้นหนักในทฤษฏีจนหน้ามืดตามัว บรรลุขั้นโสดาบันในความรู้สายต่างๆ แต่การปฏิบัติและการดำเนินชีวิตได้จริงอยู่ในระดับวิกฤตหนัก เราตอบว่าเราเป็นนักศึกษา เรายกยอตัวเองว่าเราคือปัญญาชน(แก้ว) แต่หลายคนที่จบมาหรือที่กำลังเรียนอยู่ เราเคยได้ยิน เขาตอบเรา ..”เรียนมาไม่ได้ใช้อะไรเลย สอบเสร็จก็คืนความรู้สู่คณาจารย์ที่เคารพรัก หนังสือตำราเรียนเรียนจบก็ลงถัง กระดาษโพยสรุปจบแล้วก็โยนทิ้งถังขยะ”ฯลฯ ว่าไง หรือจะเถียง !

เรายอมรับความจริงไม่ได้ ยอมรับความจริงไม่ได้จริงๆ เรากลัว เรากลัวว่าเราจบไปแล้วเดี่ยวต้องทำงานหนัก หรืออาจตกงาน เราเครียด ดังนั้นทางออกที่ดีก็คือ การคงไว้ซึ่งสภาพนักศึกษานานๆเข้าไว้ เรียนสบายๆ ทำงานเดี่ยวเครียดกว่านี้อีก เราจึงพบว่า การเรียนหลักสูตรสี่ปี แต่มีโควตาแปดปี เราก็พบนักศึกษามากมายที่เรียนให้ครบห้าปี หกปี หรือครบแปดปี อยากเป็นนักศึกษานานๆ ไม่อยากจบ แบบว่าเขารักสถาบันอย่างแรง หรือให้ดีเข้าอีก ก็ต่อ ป.โท หรือ ป.เอก จะได้ดูดีกว่านี้อีก ต่อไปจะได้เป็นอาจารย์มหาลัยที่นี่ ไม่ไปไหนแล้วหละ เรารักมหาลัยยิ่งชีพ มหาลัยจงเจริญ นี่คือส่วนหนึ่งของความคิดที่อาจเสียดสีกันมากไป แต่ถ้าพูดกันให้บาดเจ็บกันน้อยที่สุด คือ ถามว่าเห็นแก่ตัวไปไหมครับ แล้วที่บ้านนา ป่าดง พ่อแม่ ลูกๆหลานๆอนาคตของชาติ บ้านเมืองประเทศชาติ จะให้ใครรับผิดชอบ หรือว่าลืมไปแล้ว ดวงไฟแห่งอุดมการณ์แตกดั่งโพล่ะ!เสียแล้วกระมัง เขาเป็นนักศึกษา เขาบอกว่าตัวเองเป็นปัญญาชน เขาเหล่านั้นไม่ใช่คนบ้านะ แต่เขาเหล่านั้นยอมรับความจริงไม่ได้ รับไม่ได้ รับไม่ได้จริงๆ เขาอยู่กับสิ่งที่ฝัน ไม่ใช่สิ่งที่มี ลืมไปว่าอะไรคือสิ่งที่มี และอะไรคือสิ่งที่ควรฝัน ควรกระทำ และดำเนินไปบนหนทางแห่งอุดมการณ์  เขาไม่ใช่คนบ้า…แต่เขายอมรับความจริงไม่ได้…..จริงๆ

                                                                                                                       นายหัว.

                                                                        29/ 11/54

หมายเลขบันทึก: 469674เขียนเมื่อ 29 พฤศจิกายน 2011 11:40 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 22:33 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท