จุดขาย
อยู่อินเดียมา 4 ปีกว่าแล้ว เห็นอินเดียในด้านต่างๆ ทั้งกองขยะและขุมทรัพย์ รวมทั้งได้ไปเยือนทัชมาฮาลบ่อยๆ ทำให้อยากจะพูดเรื่อง “จุดขาย” ซึ่งอินเดียมีอยู่ และจุดขายนี้ในประเทศต่างๆ รวมทั้งไทยเองก็มีอยู่ เพียงแต่ว่าใครจะมองเห็นและนำมาใช้กับสังคมโลก การได้ไปเยือนทัชมาฮาลมากกว่า 1 ครั้งทำให้ผมรู้สึกปลงและมองทะลุตัวสุสานที่ยิ่งใหญ่ก่อสร้างด้วยหินอ่อนสีขาวและเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกมาช้านาน ผู้คนจากทุกมุมโลกต่างพากันมาเยือนทัชมาฮาลด้วยความยิ่งใหญ่ของสิ่งก่อสร้างและที่สำคัญสำหรับสตรีทั่วโลกก็คือเรื่องราวของความรักของผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นกษัตริย์ที่มีต่อหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งเป็นมเหษี ผลที่ออกมาก็คือสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ของโลกในปัจจุบันที่มีเรื่องราวเป็นตัวดึงดูดคนให้มาเยือน
การไปเยือนทัชมาฮาล คนต่างชาติส่วนใหญ่จะเดินทางมาเดลีเมืองหลวงก่อนแล้วนั่งรถหรือรถไฟไปเมืองอักกราซึ่งอยู่ห่างไปประมาณ 250 กม ซึ่งใช้เวลาเดินทาง 5 ชม.ผมมักบอกคนที่มาเที่ยวครั้งแรกว่าสิ่งต่างๆ ในอินเดียที่เห็นนั้นมีสองด้านเสมอ.อย่าดูด้านเดียว เพราะหากดูด้านเดียวจะพบแต่สิ่งที่ลบ สิ่งที่ไม่น่าพอใจ ไม่น่าปรารถนาเมื่อเปรียบเทียบกับในประเทศไทย หากดูด้านอื่นที่อยู่อีกฝากหนึ่งก็คือความแตกต่างของคน ของวัฒนธรรมและของสังคม ซึ่งมองในแง่ของวัฒนธรรมคือความมีเอกลักษณ์และมีเสน่ห์ของอินเดีย มองในแง่ของเศรษฐกิจ การค้านี่คือโอกาส โอกาสของใคร โอกาสของพ่อค้าหรือนักธุรกิจต่างชาติที่จะมาเสนอบริการที่ดีกว่า เช่น ถนนไม่ได้เรื่องเลย การคมนาคมไม่ได้เรื่องเลย สาธารณูปโภคไม่ดีเลย สุขอนามัยไม่ดีเลย ความสะอาดในที่สาธารณะไม่ดีเลย ก็สิ่งเหล่านี้สามารถพัฒนาได้ ก็ต้องมีผู้บริการที่ดีกว่าเข้ามา
ผมย้อนนึกไปถึงเมืองไทยเมื่อ 30-40 ปีก่อน ก็คงไม่ต่างกัน หากไม่มีคนต่างชาติเข้ามา ไม่มีวัฒนธรรมต่างชาติเข้ามาเราคนไทยก็คงไม่มีการเรียนรู้และพัฒนาสิ่งต่างๆ เมื่อร้อยกว่าปีมานี้เองคนไทยผู้ชายยังไม่ใส่เสื้อนุ่งผ้าขาวม้า ผู้หญิงก็ยังนุ่งผ้าถุง บางคนก็ไม่ใส่เสื้อมีเพียงผ้าผืนพันหน้าอก ภาพในอดีตทำให้เรารู้ว่าสังคมพัฒนาไปตามสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป อินเดียก็ไม่ต่างกัน เป็นสังคมของคนที่ค่อยๆ เปิดรับวัฒนธรรมต่างสังคม และวันหนึ่งก็คงต้องเปลี่ยนเช่นเดียวกับทุกประเทศ
พูดถึงเรื่องจุดขาย ในอินเดียมีจุดขายหลายเรื่อง เช่นทัชมาฮาลก็เป็นจุดขายสำคัญของประเทศมานานด้วยตำนานที่ได้รับว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์แห่งหนึ่งของโลกทำให้ทุกวันนี้ มีนักท่องเที่ยวมาชมทัชมาฮาล ประมาณ ปีละ 5 ล้านคน สร้างรายได้ให้กับอินเดียมหาศาล นอกจากนั้นโบราณสถานต่างๆ ที่ได้รับการบันทึกว่าเป็นมรดกโลกในอินเดียก็มีมากมายหลายสิบแห่ง เหล่านี้ล้วนเป็นจุดขายที่ดี ในด้านพุทธศาสนา อินเดียมีจุดขายที่เด่นมากก็คือพุทธโบราณสถานมากมายโดยเฉพาะสังเวชนียสถานทั้ง 3 แห่ง ทำให้ชาวพุทธทั่วโลกต้องมาสักการะสถานที่เหล่านี้ นำเงินตราและวัฒนธรรมเข้ามาไม่รู้เท่าไหร่แต่แน่นอนว่าจะส่งผลดีกับอินเดียในอนาคตอย่างแน่นอน
สิ่งเหล่านี้ทำให้ต้องย้อนกลับมามองประเทศไทยในเรื่องจุดขาย ประเทศไทยเรามีจุดขายอะไรบ้างที่ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติต้องมา ก็พบว่ามีจุดขายไม่น้อยเช่นกันไม่ว่าจะในกรุงเทพฯ อยุธยา สุโขทัย รวมทั้งพัทยา ภูเก็ต ทำให้เรามีนักท่องเที่ยวมามากเป็นอันดับต้นๆ ของเอเชีย แต่ต้องถามว่าเราได้เอาใจใส่ดูแลจุดขายเหล่านี้เพียงพอหรือไม่ น่าห่วงไม่น้อยครับ โบราณสถานหลายแห่งกำลังขาดการดูแล โดยเฉพาะภัยจากน้ำท่วมครั้งล่าสุด น่าห่วงวัดพระแก้วและโบราณสถานอีกหลายแห่งว่าจะรักษาให้มีสภาพสมบูรณ์ไปได้หรือไม่และนานเพียงใด มรดกโลกหลายแห่งในประเทศไทยอยู่ในข่ายที่หมิ่นเหม่จากการหลุดจากการเป็นมรดกโลก ก็ต้องใส่ใจดูแลและช่วยกันรักษาสิ่งเหล่านี้ให้มากมิฉะนั้นจุดขายที่เรามีอาจจะหายไป ผมมีความรู้สึกว่าไทยเรามิได้สร้างจุดขายใหม่ๆ เลย ต่างจากอินเดียที่นับวันจะมีจุดขายใหม่ๆ เกิดขึ้นเช่นอักชาดาหร์ม เดลี และการค้นพบโบราณสถานใหม่ๆ ในหลายรัฐ
ดังนั้นงานด้านวัฒนธรรมและส่งเสริมโบราณสถานน่าจะมีความสำคัญต่อประเทศเป็นอย่างมากในอนาคตเพราะวัฒนธรรมสามารถนำเศรษฐกิจของประเทศได้หากรู้จักนำมาใช้ประโยชน์ให้สูงสุด ที่สำคัญวัฒนธรรมนำได้แม้แต่เรื่องการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไทยเรายังเป็นประเทศที่ยังไม่มีนโยบายส่งออกวัฒนธรรมอย่างเป็นระบบทำให้ไม่สามารถใช้ศักยภาพของวัฒนธรรมไทยให้ส่งผลดีต่อประเทศในด้านอื่นๆ ไม่ว่าการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ก็คงถึงเวลาแล้วครับที่จะคิดกันว่าต้องส่งเสริมงานวัฒนธรรมไทยให้แผ่ไปสู่สากลให้มากๆ ควบคู่ไปกับงานการต่างประเทศเพื่อที่วันหนึ่งเราจะสามารถดึงดูดคนให้มาเที่ยวประเทศได้มากๆ นิยมไทย ซื้อสินค้าไทย ยอมรับวิถีแบบไทยและเมื่อถึงเวลานั้น เราจะสามารถเป็นผู้นำในเวทีสากลได้อย่างภาคภูมิใจ
พูดไปแล้ว วัฒนธรรมก็เหมือนน้ำ แม้จะมีอะไรมากั้น ก็สามารถหลีกรอดและซึมไปได้ ในยามที่ประเทศมีปัญหา ใช้วัฒฯธรรมนำ จะสามารถสร้างสภาพความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้ดี อยู่ที่มุมมองของผู้นำประเทศครับ
วัฒนธรรม กับ ความสะดวกปลอดภัย เป็นสิ่งที่น่าพัฒนาไปคู่กันคะ
อย่างเชียงใหม่..ก็มีสถานที่ท่องเที่ยวเป็นเอกลักษณ์
แต่ ปัญหาการคมนาคมสาธารณะ รถรับจ้าง ยังเป็นเรื่องต้องปรับปรุงกันต่อไป
ขอบคุณครับคุณหมอสำหรับดอกไม้กำลังใจ
การจัดการโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งแวดล้อมต่างๆ ล้วนทำให้เกิดความนิยมในสถานที่นั้น และเป็นการประชาสัมพันธ์ที่ดีที่สุดครับคือการบอกปากต่อปาก
ถ้ารัฐบาลเห็นศักยภาพตรงนี้ สามารถทำรายได้หลักเข้าประเทศที่ประชาชนทุกคนได้รับประโยชน์แน่นอนครับ แต่ต้องมีการลงทุนเพื่อการนี้ครับ
ผมได้อยู่อินเดียที่เมืองปูเณ่ 2ปี4เดือนเท่านั้นเองครับ
ขอบคุณครับสำหรับดอกไม้กำลังใจ หวังว่าทุกคนสบายดีนะครับ
สวัสดีครับ
ขอบคุณสำหรับดอกไม้กำลังใจครับ
จุดขายคือสิ่งที่ต้องสร้างขึ้นมาครับ อาจจะจากสิ่งที่มีอยู่แล้วหรือพัฒนาสิ่งใหม่ๆ ทำให้เป็นจุดขาย จริงๆ แล้ว ผมว่าเราทุกคนก็ต้องมีจุดขายด้วยครับ ต้องหาจุดขายของเราเอง
ผมนึกถึงเด็กขายของแถวทัชมาฮาล อักรา อินเดีย อายุคงประมาณ 12-13 ขวบแต่ขายเก่งมาก ถ้าเราไปบัง้เอิญยืนอยู่แถวร้านของเขา เขาจะเข้ามาสนทนาหาเรื่องคุยและขายของ โดยยกจุดขายต่างๆ นานา ไม่มีลดละ ต้องถือว่าคนอินเดียทั่วไปมีความพยายามสูงในการทำสิ่งต่างๆ ให้ประสบความสำเต็จตามที่ตั้งใจไว้
ในระดับประเทศ เราคงต้องรู้เราว่ามีจุดขายอะไรบ้างที่สามารถเป็นที่สนใจของต่างประเทศได้ พัฒนาตรงนั้น ส่งเสริมตรงนั้น จะช่วยประเทศให้เจริญได้ทั้งการเมือง เศรษฐกิจและสังคม
สวัสดีค่ะ
ไทผาเกใช้ภาษาอะไรสนทนากัน
และสื่อสารด้วยอักษรอะไรคะ
อินเดีย น่าท่องเที่ยวแน่นอน
พูดถึงกองขยะและขุมทรัพย์ คุณพลเดชเขียนหนังสือเล่มใหม่หรือยังคะ? น้าจ้าอาจจะตกข่าว. ;-)
ตันติราพันธ์
ชาวไทผาเกพูดภาษาไทระหว่างกันเอง พูดภาษาฮินดีกับคนทั่วไปและพูดภาษาอังกฤษได้
สำหรับคนไทย หากสนทนากับคนไทผาเก มักจะมีความสุขสนุกสนานมากเพราะภาษาไทยกับภาษาไทนั้นคล้ายๆ กัน และในที่สรุดก็จะสรุปตรงกันว่า เราคือญาติกัน
น้าจ้าครับ
ความจริงเล่มที่สองเขียนเรื่องเตรียมเอาไว้แล้ว รอแต่จัดรูปเล่มและจัดพิมพ์ แต่ต้นปีอาจจะโยกย้ายไปประเทศอื่นครับ เลยรอเวลา แต่ยังคงเขียนอยู่แน่นอนครับ
สวัสดีค่ะท่านเอกฯ
อินเดีย มีความหลากาหลาย เป็นจุดขาย
เมืองไทยเรา มีทำเล ผู้คนเป็นจุดขาย
แต่มีจุดบอดตรง ระบบมาเฟีย อุปถัมภ์
และมุมคิดภายนอก ที่มองแค่เปลือกกัน เกินไป ค่ะ