บ้าน คือ วิมาน


บ้าน คือวิมานของเรา ยามพบความเศร้า รีบกลับบ้านเราจะเปรมปรีดา เพราะบ้านมีรักน้ำใจอภัยกรุณา คอยเราอยู่ทุกเวลา ในชายคาเขตบ้านของเรา..
         ขณะที่รถตู้นำพาคณะเยี่ยมบ้านของพวกเรามุ่งสู่จุดหมาย “บึงไม้” แม้จะเป็นเขตในพื้นที่ของอำเภอแก่งคอย  แต่ฉันก็ยังไม่เคยมา  สองข้างทางมีป่ายางพาราทอดยาวไปตามถนน  ที่ช่วงหนึ่งมีการรณรงค์และชวนชาวบ้านมาปลูกยางพากรากัน    แสงแดดอ่อนๆยามเช้าส่องปะทะใบหน้า  สายลมพลิ้วไหวอ่อนโยนที่สัมผัสได้ในยามเช้ายามนี้  ทีมพวกเราไม่รอช้ารีบก้าวลงจากรถและรับสูดอากาศอันบริสุทธิ์ที่หายากได้ในยามนี้กันอย่างสดชื่น  ค่อยๆลัดเลาะไปตามทางเดินขึ้นเนินบ้าง  ลงเนินบ้าง  เนื่องจากรถไปไม่ถึงและต้องเดินเท้าเท่านั้นถึงจะถึงบ้านผู้ป่วย

 

         “มีใครอยู่บ้างคะ  หมอมาเยี่ยม”  เสียงใครคนหนึ่งในทีมเราร้องทัก
        “คุณหมอนั่นเอง  เชิญข้างในเลยจ้ะ”   เสียงดังออกมาพร้อมหญิงสูงอายุท่านหนึ่งเดินออกมาต้อนรับจากในบ้านด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและเป็นมิตรยิ่งนัก
        “มากันหลายคนเลยนะหมอ  เชิญนั่งจ้ะ”  ป้าเชื้อเชิญให้พวกเรานั่งในบ้าน
        “เป็นไงบ้างจ้ะลุง”  เสียงน้องปานจากตึกชายชวนคุย 
        ลุงยิ้มรับทักทายแทนคำตอบ  อาจเนื่องมาจากการพูดลำบากจากการเจ็บป่วยเนื่องจากมะเร็งที่ลิ้น  ลุงนั่งบนฟูกที่นอน  ข้างที่นอนมีกระป๋องวางอยู่ข้างๆ  ลุงบอกว่าเอาไว้บ้วนน้ำลาย  ฉันสังเกตเห็นว่าวันนี้ลุงทาแป้งหน้าขาว  ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม  ผิดจากที่อยู่ที่โรงพยาบาล  ที่ลุงบ่นอยากกลับบ้านทุกวัน  ลูกสาวและภรรยาของลุงเล่าให้ฟังว่า  ลุงดีใจที่ได้กลับมานอนที่บ้านมีเพื่อนบ้านมาเยี่ยมบ่อยๆ  ลูกๆและภรรยาดูแลอย่างใกล้ชิดเมื่อถามว่า
        “ลุงรู้มั้ยคะว่าป่วยเป็นอะไร”  ฉันถามลูกสาวของขณะอยู่กันตามลำพัง
        “ทราบค่ะหมอ  บอกแกทุกอย่างไม่ปิดบัง”  ลูกสาวบอก
        “แล้วลุงแกมีท่าทางอย่างไรบ้าง  ตกใจมั้ย”  ฉันถามด้วยความตื่นเต้น
        “แกก็เฉยๆนะหมอ  แกบอกว่าเป็นธรรมดา  จะป่วยเป็นอะไรคนเรามันก็ต้องตายกันทั้งนั้น”  ลูกสาวบอก  และยังเล่าด้วยความดีใจที่พ่อกลับมาอยู่บ้าน  ไม่ต้องเปลืองค่ารถที่ต้องออกไปเยี่ยม  เพราะต้องเสียค่าเหมารถไปครั้งละ ๓๐๐ บาท  แถมอยู่บ้าน อยากกินอะไรก็ได้กิน  เพราะลุงเอาสายยางให้อาหารทางจมูกออก  บอกรำคาญ  และลูกๆกับภรรยาก็ทำอาหารอ่อนๆให้กิน 
        ฉันรู้สึกโล่งใจ  ทีแรกเป็นกังวลว่าลุงแกจะเสียใจและหมดกำลังใจในการรักษา

        เราได้ติดตามเยี่ยมลุงอีก ๒-๓ พบว่าอาการของลุงคงเหมือนเดิม   ลุงสามารถช่วยเหลือตนเองในการทำกิจวัตรประจำวันได้พอควร  ลูกหลานดูแลเอาใจใส่อย่างดี  เพื่อนบ้านมเยี่ยมได้บ่อยๆ  รอยยิ้มแห่งความสุขของลุงที่ได้กลับไปอยู่ที่บ้านแห่งความสุขของลุง  ยังคงพิมพ์ใจฉันอยู่ตลอดเวลา...เหมือนกับมหาอุทกภัยน้ำท่วมตอนนี้  ที่เราเห็นคนแก่ไม่อยากอพยพไปไหน  อยากอยู่แต่ที่บ้านของตัวเอง  คงเหมือนกันในยามนี้  บางครั้งเราคิดว่าที่ที่เขาจะไปอยู่มันน่าจะดีกว่า  แต่เขาเหล่านั้นกลับมองว่าแม้จะดีกว่า  แต่เขาไม่เคยชิน  และไม่สุขใจเหมือนอยู่ที่บ้าน  “บ้าน” คือวิมานอันแสนสุขและแสนอบอุ่น

 

คำสำคัญ (Tags): #namsha#เยี่ยมบ้าน
หมายเลขบันทึก: 468634เขียนเมื่อ 18 พฤศจิกายน 2011 14:36 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 เมษายน 2012 03:31 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

ดาวหนึ่งซึ่งเห็นเด่นนัก

ประจักษ์ดวงแจ้งแสงจ้า

ส่องทางด้วยธรรมนำพา

เดินฝ่าครรลองผองภัย

 

 

  • บ้านเปรียบเสมือนรังที่อยู่อาศัย + มีความสุข ถึงไม่สุขกายและก็มีความสุขใจ สุขใจสำคัญกว่าสุขกายไงค่ะ

ขอบคุณค่ะ อ.โสภณ เปียสนิท

ขอบคุณค่ะ อ..บุศยมาศ  ใช่เลยค่ะอาจารย์  บ้านคือวิมานของเราอย่างน้อยเราก็สุขใจเสมอเมื่ออยู่ที่บ้านของเรา

สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๕ ค่ะ Ico48 ขอส่งความสุขด้วยคำกล่าวว่า สุขสันต์ วันปีใหม่ และทุกวันคืนตลอดไปนะคะ...

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท