การจัดการความรู้
5 เทคนิควิธีสู่...ความสำเร็จในการบริหารสถานศึกษา
ดร.ปฐมพงศ์
ศุภเลิศ
รองผู้อำนวยการโรงเรียนจิระศาสตร์วิทยา
ปัจจุบันสังคมโลกได้เปลี่ยนจากยุคอุตสาหกรรมที่มีปัจจัยสำคัญในการแข่งขันคือ
ทุน เข้าสู่ยุคที่ปัจจัยสำคัญของการแข่งขันคือ
ความรู้ (Knowledge)
ที่องค์การและผู้คนจำเป็นจะต้องรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง
สามารถที่จะนำประสบการณ์ ความรู้ ที่มีอยู่หลากหลายทั้งในตัวตน
ในองค์การ
หรือในตำรานำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยใช้เครื่องมือการจัดการความรู้
KM: Knowledge Management ผู้เขียนมีโอกาสดีที่ได้เกี่ยวข้อง
สัมผัส พูดคุย แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และนำเครื่องมือการจัดการความรู้
เข้ามาใช้
ในการบริหารจัดการโรงเรียนและสอดแทรกไปในกระบวนการจัดการความรู้ของโรงเรียนจิระศาสตร์วิทยา
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มาตั้งแต่ปี 2545 โดยมี
ท่านศาสตราจารย์นายแพทย์วิจารณ์
พานิช
ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม (สคส.)
และคณะได้ถ่ายทอดศิลปวิทยาการ
“การจัดการความรู้”
ให้กับบรรดา
ผู้บริหารต้นแบบการปฎิรูปการเรียนรู้ ของสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา
ซึ่งผู้เขียนได้มีโอกาสติดตามอาจารย์จิระพันธุ์
พิมพ์พันธุ์
ผู้อำนวยการโรงเรียน จิระศาสตร์วิทยา
ในฐานะผู้บริหารต้นแบบ เข้าร่วมประชุมสัมมนาด้วย
เมื่อกลับมาถึงโรงเรียนมีโจทย์ใหญ่ข้อหนึ่งที่ผู้บริหารต้นแบบจะต้องแก้โจทย์ให้ได้คือ...
สถานศึกษาจะมีกลยุทธ์อย่างไรที่จะทำให้การปฏิรูป
การเรียนรู้บรรลุผลสู่ความสำเร็จ
คำถามนี้ดูเหมือนง่ายแต่ทำยาก ต่อมาโรงเรียนได้นำประสบการณ์ความรู้
ด้านการจัดการความรู้มาประยุกต์ใช้ในโรงเรียนจิระศาสตร์วิทยาอย่างจริงจัง
เริ่มตั้งแต่ “การสร้างความเข้าใจ
ให้ความสำคัญ และผลักดันคุณภาพ” แรกๆบุคลากรบางส่วนจะมีความรู้สึกว่าผู้บริหารเพิ่มงานใหม่ให้อีกแล้ว
ต่อมาเมื่อทุกฝ่ายได้ลงมือปฏิบัติจริงก็ถึงบางอ้อว่า...
ที่แท้การจัดการความรู้ก็อยู่ในวิถีปฏิบัติงานประจำวัน
นั่นเอง กว่าจะถึงวันนี้ได้ก็ใช้เวลาพอสมควร
อย่างไรก็ตามทางฝ่ายบริหารได้มองการณ์ไกล
จึงได้ออกแบบแนวทางการจัดการความรู้สอดแทรกผสมผสานไปกับการปฏิบัติงานปกติของโรงเรียน
ซึ่งคณะกรรมการทุกๆฝ่ายได้มีบทบาทในการจัดการความรู้อยู่เป็นประจำ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในการประชุมคณะกรรมการแต่ละคณะ
เช่น
-
ทุกวันจันทร์ เวลา 9.00-10.30 น.
มีการประชุมคณะกรรมการสภาครู
-
ทุกวันจันทร์ เวลา 16.30-17.30 น. มีการประชุมคณะครูระดับ
ม.1-3
- ทุกวันอังคาร เวลา 16.30-17.30 น. มีการประชุมคณะครูระดับ อนุบาล
1-3
-
ทุกวันพุธ
เวลา 16.30-17.30 น. มีการประชุมคณะครูระดับ
ป.1-3
- ทุกวันพฤหัสบดี เวลา 16.30-17.30 น. มีการประชุมคณะครูระดับ
ป.4-6
- ทุกวันศุกร์ เวลา 9.00-10.30 น. มีการประชุมคณะกรรมการสายชั้น
การนำกิจกรรมการจัดการความรู้มาประยุกต์ใช้ในการประชุมของคณะกรรมการ
ทุกคณะ
ส่วนใหญ่คณะครูและบุคลากรซึ่งเป็น
“คุณกิจ”
ตัวจริงจะทำหน้าที่จัดกิจกรรมการการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
การนำเสนอผลงาน การสะท้อนปัญหาอุปสรรค
แนวทางปรับปรุงแก้ไขการดำเนินงานของคณะกรรมการ/ฝ่ายต่างๆ
โดยมีหัวหน้าระดับ/หัวหน้าสายชั้น ทำหน้าที่เป็น
“คุณอำนวย”
รวมทั้งมีเพื่อนครู
ทำหน้าที่เป็น “คุณลิขิต”
ทำให้ได้รับความร่วมมือจากบุคลากรทุกฝ่ายภายในสถานศึกษาเป็นอย่างดี
ต่อจากนั้นได้มีแนวความคิดว่าน่าจะมีการขยายประสบการณ์ความรู้ไปสู่สถานศึกษาเครือข่ายทั้งในระดับเขตพื้นที่การศึกษาในจังหวัดและต่างจังหวัด
จึงมีการจัดกิจกรรม
“ตลาดนัดความรู้”
เกิดขึ้นที่โรงเรียนจิระศาสตร์วิทยา
2 ครั้ง
-
ครั้งแรก จัดขึ้นเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2549
และ
- ครั้งที่ 2
จัดขึ้นเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2549
ทั้งสองครั้งได้รับความร่วมมือจากหน่วยงาน สถานศึกษา
ส่งผู้แทนเข้าร่วมกิจกรรม
ไม่น้อยกว่า 150 คน
ผลที่ได้ท่านผู้อ่านสามารถสืบค้นข้อมูลได้จาก www.jirasart.com หรือ
www.gotoknow.jirasart.or.th
การดำเนินการจัดการความรู้ได้ขยายวงไปไกลถึงเครือข่ายความร่วมมือกับต่างประเทศ
โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่นและนิวซีแลนด์โดยโรงเรียนได้จัดการศึกษาทางไกลระบบ
TV.Conference ร่วมกับโรงเรียน นาฮาโตะ
(Nahato School) ประเทศญี่ปุ่น 3 ครั้ง และล่าสุดเมื่อวันที่
15-17 สิงหาคม 2549 มหาวิทยาลัยเกียวโตการศึกษา (Kyoto
University of Education) และ
มหาวิทยาลัยโอซาก้าการศึกษา (Osaka University of Education)
ได้ส่งนักศึกษาปริญญาโท 6 คน และปริญญาตรี 3 คน
รวมทั้งสิ้นจำนวน 9 คนมาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู
โดยเข้าทำการสอนร่วมกับครูไทยพร้อมทั้งแลกเปลี่ยนศิลปวัฒนธรรมกับคณะครูนักเรียนในโรงเรียนจิระศาสตร์วิทยา
ปรากฏว่าได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งและนับเป็นมิติใหม่ในการจัดการศึกษายุคโลกาภิวัตน์
ส่วนความร่วมมือทางการศึกษากับประเทศนิวซีแลนด์นั้น
ผู้เขียนได้เดินทางไปศึกษาดูงานด้านการศึกษาและองค์กรวิชาชีพครู
เมื่อเร็วๆนี้ได้มีโอกาสพูดคุยแนวทางในการแลกเปลี่ยนเทคนิคแนวทางในการส่งเสริมการจัดการศึกษาของทั้งสองประเทศ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดการอบรมหลักสูตรระยะสั้นสำหรับครูและ
ผู้บริหาร
สำหรับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้แนวทางการจัดการความรู้ที่ได้นำมาเล่าสู่กันฟังใน
ครั้งนี้ถือว่าเป็นกรณีตัวอย่าง ผู้เขียนยังไม่กล้าพูดว่าเป็น
Best
Practices แต่ขอยืนยันว่าหน่วยงานสถานศึกษาสามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับสภาพและบริบทของตนเอง
ในที่นี้ขอนำเสนอ การจัดการความรู้
5
เทคนิควิธีสู่...ความสำเร็จของการบริหารสถานศึกษา
ดังนี้
·
การส่งเสริมให้ครูจัดการเรียนรู้ตามแนวปฎิรูปการศึกษา
·
การใช้
ICTส่งเสริมการบริหารและการจัดการเรียนรู้ในสถานศึกษา
·
หลากหลายเทคนิควิธีดึงชุมชนสู่สถานศึกษา
·
การส่งเสริมการใช้แหล่งเรียนรู้ภายในและภายนอกสถานศึกษา
·
การดำเนินงานระบบช่วยเหลือดูแลนักเรียน
การส่งเสริมให้ครูจัดการเรียนรู้ตามแนวปฎิรูปการศึกษาในยุคที่กระทรวงศึกษาธิการได้มีการปฏิรูปการศึกษา
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเงื่อนไขความสำเร็จหรือความล้มเหลวของการปฏิรูปการเรียนรู้อยู่ที่
“ผู้บริหาร
ครูอาจารย์และบุคลากรที่มีส่วนเกี่ยวข้อง” เป็นสำคัญ
ฉะนั้นโรงเรียนจึงกำหนดกลยุทธ์ให้มี “การปรับวิธีเรียนเปลี่ยนวิธีสอน”
-
จากเดิมที่ครูทำหน้าที่เป็นผู้สอน ปรับเปลี่ยนเป็น
ผู้อำนวยการจัดการความรู้
-
จากเดิมที่สอนในห้องเรียน
ปรับเปลี่ยนเป็น
จัดกิจกรรมการเรียนรู้ในแหล่งเรียนรู้ทั้งในและนอกโรงเรียน
-
จากเดิมที่สอนเป็นรายวิชา ปรับเปลี่ยนเป็น
การบูรณาการหลากหลายกลุ่มสาระการเรียนรู้
- จากเดิมที่เคยวัดผลประเมินผลจากการสอบ ปรับเปลี่ยนเป็น
การวัดผลประเมินผลตามสภาพจริงและหลากหลายวิธีเพื่อค้นหาและพัฒนาศักยภาพผู้เรียน
จะเห็นแล้วว่ากว่าจะปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ได้
ผู้บริหารจะต้องอดทดและใช้เวลาพอสมควร ทั้งนี้โดยอาศัยวิธีการ
“สร้างความเข้าใจ ให้ความสำคัญ
และผลักดันคุณภาพ”
อย่างต่อเนื่อง
จึงจะบังเกิดผลตามที่ต้องการ
สำหรับผลการดำเนินงานจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ได้ดำเนินการมา
โรงเรียนได้จัดให้มีการนำเสนอผลงานในเวทีศักยภาพนักเรียน
(Child
Show) และเวทีศักยภาพครู (Teachers Show)
เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคนได้แสดงศักยภาพ
รวมทั้งแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
ซึ่งจัดขึ้นในช่วงปลายภาคเรียนที่ 1 ของทุกปี
การใช้
ICTส่งเสริมการบริหารและการจัดการเรียนรู้ในสถานศึกษา
ในยุคปัจจุบันเชื่อมั่นว่าหน่วยงานสถานศึกษาหลายแห่งได้นำสื่อเทคโนโลยีและ
นวัตกรรมใหม่ๆเข้ามาใช้ในการบริหารจัดการและนำมาประยุคใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้มากขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงเรียนจิระศาสตร์วิทยา
ได้จัดให้มีกิจกรรมการเรียนรู้
สู่โลกกว้างผ่านระบบ
TV.Conference
ร่วมกับสถานศึกษาในประเทศญี่ปุ่น
การใช้เว็บจัดการความรู้ของสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคมหรือที่รู้จักกันดีในนามเว็บGotoknow
นับได้ว่าเป็นคลังความรู้อันทรงพลังที่ผู้บริหาร ครูอาจารย์
นักการศึกษาและผู้เกี่ยวข้องสามารถจะเข้าถึงข้อมูล
ข่าวสาร ผลงานและได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์
ความรู้อย่างกว้างขวาง
หลากหลายเทคนิควิธีดึงชุมชนสู่สถานศึกษา การจัดการสมัยใหม่ได้ให้ความสำคัญกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
(Stakeholder)
และลูกค้า (Customer) เป็นสำคัญ
ในที่นี้หมายถึงชุมชนคือกลุ่มเป้าหมายสำคัญ
ที่จะผลักดันสนับสนุนส่งเสริมช่วยเหลือให้การดำเนินงานของโรงเรียนประสบความสำเร็จฉะนั้นแนวดำเนินการในการดึงศักยภาพของชุมชนเข้ามาสู่สถานศึกษา
จึงสามารถดำเนินการได้ดังนี้
ประการแรก
โรงเรียนมีการสื่อสารถึงผู้ปกครองอย่างสม่ำเสมอผ่านทางจดหมายข่าว
วารสาร “จิระศาสตร์สัมพันธ์”
ของโรงเรียน
เว็บไซต์ www.jirasart.com
การจัดประชุมผู้ปกครอง
การออกพบปะเยี่ยมนักเรียน
เป็นต้น
ประการที่สอง
โรงเรียนได้เปิดโอกาสให้ผู้ปกครองและชุมชนเข้ามาใช้บริเวณอาคารสถานที่ของโรงเรียนในการจัดกิจกรรมพบปะสังสรรค์
ประชุม อบรม สัมมนา หรือสาธิต กิจกรรม
OTOP
โดยสถานศึกษาคิดค่าใช้จ่ายในราคาถูกหรือเป็นการให้เปล่า
ซึ่งจะทำให้ผู้ปกครองและชุมชนได้รับความสะดวกและเกิดความพึงพอใจในการให้บริการของสถานศึกษาและพร้อมที่จะให้การสนับสนุนโรงเรียนในโอกาสอันควร
นอกจากนั้นยังเปิดโอกาสให้หน่วยงานสถานศึกษาทั้งภาครัฐและเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศเข้าเยี่ยมชม
ศึกษา-ดูงาน แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับคณะผู้บริหารครู อาจารย์
บุคลากรและนักเรียนโรงเรียนจิระศาสตร์วิทยา
เป็นประจำทุกปีๆละไม่น้อยกว่า 100 คณะ (จำนวนกว่า 1,00
คน)
ประการสุดท้าย การเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆในวันสำคัญ
เกี่ยวกับชาติ ศาสนา
พระมหากษัตริย์ที่หน่วยราชการหรือหน่วยงานเอกชนจัดขึ้น
โรงเรียนต้องให้ความสำคัญโดยการนำคณะครู
บุคลากรและนักเรียนเข้าร่วมงานอย่างสม่ำเสมอจนกลายเป็น
สัญลักษณ์ขององค์กร ดังคำกล่าวที่ว่า... “ถ้างานใดไม่มีจิระศาสตร์งานนั้นจะกร่อย”
หรือคำกล่าวที่ว่า...
“พร้อมเพรียง เกรียงไกร
ไฉไล ต้องจิระศาสตร์”
เป็นต้น
นอกจากจะเป็นความร่วมมือกับชุมชนแล้วยังเป็นการประชาสัมพันธ์โรงเรียนทางอ้อมที่ไม่ต้องลงทุนโฆษณาประชาสัมพันธ์มากมายนัก
การส่งเสริมการใช้แหล่งเรียนรู้ภายในและภายนอกสถานศึกษา
ด้วยข้อจำกัดของการจัดประสบการณ์การเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง
คงไม่มีสถานศึกษาใดที่สามารถนำทุกสิ่งทุกอย่างมาไว้ที่โรงเรียนเพื่อให้นักเรียนได้ศึกษา
เรียนรู้ ฉะนั้นสิ่งที่ครูและผู้บริหาร
ได้วางแผนร่วมกันคือ การสำรวจแหล่งเรียนรู้ ภูมิปัญญาท้องถิ่น
และจัดพิมพ์เป็นทำเนียบ
เพื่อให้ง่ายต่อการสืบค้นหรือประสานงานในการสนับสนุนส่งเสริมการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในลักษณะบูรณาการ
ซึ่งในแต่ละท้องถิ่นจะมีแหล่งเรียนรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่นที่หลากหลาย
โดยเฉพาะจังหวัดพระนครศรีอยุธยานับว่าโชคดีที่มีสินทรัพย์ทางปัญญาและมรดกอันล้ำค่า
ศึ่งองค์การยูเนสโกประกาศยกย่อง
ให้เป็น “มรดกโลกทางด้านวัฒนธรรม”
ดังนั้นการจะจัดกิจกรรม
แลกเปลี่ยนเรียนรู้ หรือการนำนักเรียนไปสัมผัส ศึกษา
เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงจึงไม่มีปัญหาอุปสรรคแต่อย่างใด
กรณีตัวอย่างของการจัดกิจกรรมร่วมกับแหล่งเรียนรู้/ ภูมิปัญญาท้องถิ่น
เช่น
-
ศูนย์ศึกษาประวัติศาสตร์อยุธยา
-
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา
-
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจันทรเกษม
-
พิพิธภัณฑ์เรือไทย
(อาจารย์ไพฑูรย์
ขาวมาลา)
-
นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา
-
ศูนย์การเรียนรู้ธรรมชาติ
สนองแนวพระราชดำริ “เศรษฐกิจพอเพียง”
เป็นต้น
แนวทางการดำเนินงานที่ครูหรือผู้เกี่ยวข้องควรทราบ
มีดังนี้1)
ควรมีการประสานงานและวางแผนร่วมกันระหว่างสถานศึกษากับแหล่งเรียนรู้/
ภูมิปัญญาท้องถิ่นเป็นการล่วงหน้า
2)
ควรให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมในการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ในลักษณะบูรณาการร่วมกับครูผู้สอน
3)
ในระหว่างจัดกิจกรรมการเรียนรู้ควรเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ฝึกทักษะกระบวนการกลุ่ม
ช่วยกันสืบค้นข้อมูล ความรู้
โดยมีครูและภูมิปัญญาท้องถิ่นทำหน้าที่ให้คำปรึกษา
4)
หลังจากเสร็จกิจกรรมควรมีการนำเสนอผลงานกลุ่มของนักเรียน
และให้นักเรียนมีการประเมินผลงานของตนเอง
ประเมินโดยครู และประเมินโดยผู้เกี่ยวข้อง เช่นภูมิปัญญาท้องถิ่น
เป็นต้น
5)
ข้อควรปฏิบัติในการจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้
ควรเปิดโอกาสให้นักเรียนได้แสดงบทบาทของคุณกิจ คุณลิขิต
และมีครูหรือผู้บริหารทำหน้าที่เป็นคุณเอื้อ
คุณอำนวยอย่างแท้จริง
การดำเนินงานระบบช่วยเหลือดูแลนักเรียน
ครูหรือผู้บริหารย่อมทราบดีอยู่แล้วว่า
จิตวิทยาการจัดการเรียนรู้ต้องคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล
และต้องเชื่อว่าผู้เรียนทุกคนสามารถพัฒนาได้
ดังนั้นในการจัดระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนจึงมีความจำเป็นและควรให้ความสำคัญไม่แพ้การดำเนินงานด้านการเรียนการสอนและอื่นๆ
ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนที่โรงเรียนนำมาใช้
มีดังนี้
1)
ระบบครูคู่มิตร
เป็นการจัดครูประจำชั้นหรือครูประจำวิชาที่มีห้องใกล้กันช่วยกันสอดส่องดูแลพฤติกรรมการเรียน
การเข้าร่วมกิจกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของนักเรียน เพื่อเป็นการป้องปราม
หรือป้องกันปัญหาไว้เป็นการล่วงหน้าการจัดกิจกรรมลักษณะนี้จะมีการเตือน
มีการออกใบเตือนนักเรียนโดยให้ ใบเหลือง, ใบแดง ตามควร
แก่กรณี เช่น กรณีความผิดเล็กน้อยอาจมีการตักเตือนแล้วให้ใบเหลือง
ส่วนการให้ใบแดงมักจะไม่พบ
ทั้งนี้เพราะนักเรียนที่เคยได้ใบเหลืองจะระมัดระวัง
หรือนักเรียนจะเกรงกลัวความผิดและไม่อยากถูกลงโทษโดยการให้ใบแดง
นั่นหมายถึงตัวเองและผู้ปกครองจะเดือดร้อนด้วย
2)
ระบบเพื่อนช่วยเพื่อนและพี่ช่วยน้อง
เป็นการปลูกฝังจิตสำนึก
ให้นักเรียนดูแลช่วยเหลือกันเอง
ภายใต้การดำเนินงานของคณะกรรมการสภานักเรียน
และสโมสรอินเตอร์แรคท์โรงเรียนจิระศาสตร์วิทยา
ซึ่งจะทำหน้าที่แนะนำช่วยเหลือ สอดส่องดูแล
รายงานพฤติกรรมนักเรียนที่ไม่พึงประสงค์ให้ครูทราบ
3)
ระบบผู้ปกครองเครือข่าย
เป็นการขอความร่วมมือจากตัวแทน
ผู้ปกครองนักเรียนแต่ละระดับ แต่ละช่วงชั้น ซึ่งมีจำนวน 234 คน
ทำหน้าที่สอดส่องดูแลพฤติกรรมนักเรียนนอกโรงเรียน
และรายงานให้ครูหรือผู้บริหารทราบ พร้อมทั้งในคำแนะนำ ปรึกษา
ในการสนับสนุนส่งเสริมการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนด้วย
4)
ระบบเยี่ยมยามถามข่าว
เป็นการจัดครูประจำชั้น
หรือครูที่ปรึกษาร่วมกับผู้บริหารและกรรมการฝ่ายสัมพันธ์กับชุมชนออกพบปะ
เยี่ยมเยียนผู้ปกครองและนักเรียนในชุมชน หมู่บ้านที่นักเรียนอาศัยอยู่
ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ตามตำบลอำเภอต่างๆในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและจังหวัดใกล้เคียง
ทำให้ได้รับทราบข้อมูล ข่าวสาร สภาพปัญหา
ความต้องการของผู้ปกครองและนักเรียนอย่างแท้จริง
และนำไปสู่ความร่วมมือในการแก้ปัญหาและพัฒนานักเรียนอย่างต่อเนื่อง การจัดการความรู้ร่วมกันของผู้บริหาร
ครูอาจารย์ นักเรียน และบุคลากรทางการศึกษา
จากวันนั้นถึงวันนี้แม้จะมีความสำเร็จไม่สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์
แต่สภาพที่เห็นเด่นชัดหลังจากที่มีการจัดกิจกรรม
แลกเปลี่ยนเรียนรู้ พบว่า
สิ่งที่อยู่ในความทรงจำของทุกคนคงจะไม่พ้นความรู้สึกดีดีในไมตรีจิตมิตรภาพ
การรู้จักยอมรับความคิดเห็น รู้จักให้เกียรติซึ่งกันและกัน
รวมถึงการทำงานร่วมกันเป็นทีม วันเวลาแห่งการจัดการความรู้ได้ดำเนินการควบคู่กับกิจวัตรประจำวันของสถานศึกษา
จนกลายเป็นวัฒนธรรมองค์กรแห่งการเรียนรู้
ซึ่งยังคงดำเนินการอยู่และจะต้องปรับปรุงพัฒนาให้เจริญก้าวหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
ภายใต้พลังขับเลื่อนของภาคี
เครือข่ายการจัดการความรู้ที่กระจายอยู่ทุกภาคส่วนทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ความสำเร็จและความก้าวหน้าทั้งหลายจะเกิดขึ้นไม่ได้
หากไม่ได้รับความอนุเคราะห์สนับสนุน
ส่งเสริมเป็นกำลังใจและให้ความช่วยเหลือ
ด้วยดีมาโดยตลอดจาก สคส. (สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม)
ซึ่งจะดำรงคงอยู่คู่วงการจัดการความรู้ของไทยตลอดไป
และผมมีความเชื่อมั่นว่า “การจัดการความรู้
จะไม่มีวันประสบความสำเร็จได้เลย หากหน่วยงาน
สถานศึกษายังไม่ได้ลงมือปฏิบัติจัดการความรู้”
ถึงเวลาแล้วหรือยังครับที่เราจะมาร่วมกันขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่เป้าหมายความสำเร็จท่ามกลางระบบเศรษฐกิจ
สังคมฐานความรู้ (Economic Knowledge
Based Society)
โดยใช้เครื่องมือการจัดการความรู้เป็นเครื่องมืออันทรงพลานุภาพ®
บริหารงานการพร้อมเรียนรู้ ลงมือสู้ปัญหาฝ่าขวากหนาม
ใช้ปัญญาใช้กำลังแรงงาน ร่วมกันสานฝันใฝ่ให้เป็นจริง
อวยพร กศน.52