31 ตุลาคม 2554
1. ข้อเท็จจริง (Fact)
1.1 โจทก์ฟ้องว่า
โจทก์ - นางวิมลศิริไพบูลย์
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งหกร่วมกันละเมิดลิขสิทธิ์นวนิยายของโจทก์จำนวน 6 เรื่องต่อมาจำเลยทั้งหกให้จำเลยที่ 2ทำบันทึกข้อตกลงกับโจทก์ว่ากระทำละเมิดลิขสิทธิ์จริงแต่ขอจำหน่ายหนังสือนวนิยายทั้ง 6 เรื่องที่อยู่ในความครอบครองของจำเลยทั้งหกให้เสร็จสิ้นภายใน 2 ปีโดยชำระค่าตอบแทนให้โจทก์จำนวน 120,000 บาทต่อมาโจทก์สืบทราบว่าจำเลยทั้งหกร่วมกันจำหน่ายหนังสือนวนิยายที่ละเมิดลิขสิทธิ์โจทก์จำนวน15 เรื่อง รวม 36 เล่มซึ่งเจ้าพนักงานตำรวจยึดหนังสือดังกล่าวไว้เป็นของกลาง นอกจากนี้โจทก์ยังทราบว่าจำเลยทั้งหกได้จัดพิมพ์และจำหน่ายหนังสือของโจทก์ตลอดมาอันเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์และเป็นการกระทำผิดข้อตกลงฉบับลงวันที่18 เมษายน 2533 ซึ่งจำเลยทั้งหกทำไว้กับโจทก์ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายขอให้บังคับจำเลยทั้งหกร่วมกันชำระเงินจำนวน 2,000,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย
1.2 จำเลย
จำเลย - บริษัทบูรพาสาส์น (1991) กับพวก
จำเลยทั้งหกให้การว่าจำเลยทั้งหกไม่ได้มอบหมายหรือยอมรับให้จำเลยที่ 2ไปทำบันทึกข้อตกลงตามฟ้องกับโจทก์ จำเลยที่ 2ทำบันทึกข้อตกลงดังกล่าวก่อนที่จะจดทะเบียนจัดตั้งจำเลยที่ 1จำเลยทั้งหกไม่ผูกพันต้องรับผิดตามบันทึกข้อตกลงที่จำเลยที่ 2ทำไว้กับโจทก์ จำเลยทั้งหกไม่ได้จัดพิมพ์และจำหน่ายหนังสือนวนิยายทั้ง15 เรื่อง อันเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์โจทก์บังคับข่มขู่ให้จำเลยที่ 2ชำระค่าลิขสิทธิ์หนังสือนวนิยายดังกล่าวเพิ่มโดยโจทก์ขยายเวลาอนุญาตให้จำเลยที่ 2 จำหน่ายออกไปอีก 2 ปีซึ่งจำเลยที่ 2 ได้จำหน่ายหนังสือหมดภายใน 2 ปีโดยไม่พิมพ์หนังสือดังกล่าวเพิ่มขึ้นแต่อย่างใดโจทก์เรียกค่าเสียหายสูงเกินความจริง ขอให้ยกฟ้อง
1.3ศาลชั้นต้นตัดสินว่า
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยที่1 และที่ 2 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 100,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง(ฟ้องวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2544) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์กับให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 30,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้จำเลยที่ 1 และที่2 ใช้แทนตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 ถึงที่ 6ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 3 ถึงที่ 6 ให้เป็นพับ
2. คำตัดสินของศาลฎีกา(Decision)
แม้ จะไม่อาจถือว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1ในการทำสัญญาจะจำหน่ายหนังสือ เพราะขณะนั้นยังไม่มีการจัดตั้งจำเลยที่1 แต่พฤติการณ์ต่อมาแสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งมีจำเลยที่ 2เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนนั้นได้รับและถือเอาประโยชน์จากการที่จำเลยที่ 2 ตกลงทำสัญญากับโจทก์ โดยการจัดจำหน่ายหนังสือนวนิยาย 6เรื่องต่อไป ถือว่า จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2ทราบและถูกผูกพันตามข้อตกลงสัญญาดังกล่าว
การที่หนังสือนวนิยาย 11เรื่องยังคงมีวางจำหน่ายหลังจากระยะเวลาที่มีการอนุญาตให้ใช้สิทธิผ่านพ้นไปแล้วเป็นเวลานานไม่อาจใช้เป็นข้อสันนิษฐานรับฟังให้เป็นโทษแก่จำเลยที่ 1 ได้และการที่ราคาหนังสือนวนิยายแตกต่างกันอาจเป็นเพราะสาเหตุอื่น เช่นมีการจัดพิมพ์หนังสือนวนิยายนั้นมาเป็นเวลานานโดยกรรมวิธีแบบเก่าจึงไม่สามารถจำหน่ายในราคาที่แข่งขันกับหนังสือนวนิยายฉบับที่พิมพ์ใหม่ได้ยังไม่อาจรับฟังได้ว่าหนังสือนวนิยายของกลางเป็นงานที่ลักลอบพิมพ์ใหม่หรือทำซ้ำโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ ลำพังการที่จำเลยที่ 1มีหนังสือนวนิยายดังกล่าววางจำหน่ายย่อมไม่อาจถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์
ศาลฎีกาได้ตั้งประเด็นในการวินิจฉัยรวม 4 ประเด็น ดังนี้
ประเด็นที่ 1
คดีนี้โจทก์กับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่างอุทธรณ์จึงเห็นควรรวมพิจารณาไปพร้อมกัน โดยเห็นควรวินิจฉัยในประเด็นแรกว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2จะต้องรับผิดต่อโจทก์สำหรับการละเมิดลิขสิทธิ์นวนิยายจำนวน 5 เรื่องคือ สายสัมพันธ์ สายรุ้ง ล่า ทิพย์ และดาวเรืองตามที่ตกลงตามสัญญาจะจำหน่ายหนังสือหรือไม่
ศาลฎีกาตัดสินว่า
จำเลยที่ 1 ต้องร่วมกับจำเลยที่ 2 รับผิดต่อโจทก์ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษามานั้นจึงชอบแล้วศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นพ้องด้วยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ประเด็นที่ 2
จำเลยที่ 3 ถึงที่ 6 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 และที่ 2ในการละเมิดลิขสิทธิ์นวนิยาย 5 เรื่อง ดังกล่าวต่อโจทก์หรือไม่
ศาลฎีกาตัดสินว่า
คดียังไม่พอฟังว่า จำเลยที่ 3 ถึงที่ 6 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่1 และที่ 2 ในนวนิยาย 5 เรื่อง ดังกล่าวต่อโจทก์ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษามานั้นชอบแล้วศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นพ้องด้วยอุทธรณ์ของโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ประเด็นที่ 3
จำเลยทั้งหกร่วมกันละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ในนวนิยายอีก 11 เรื่องคือเรื่องคู่กรรม จิตา ฌาน แผลหัวใจ มงกุฎหนาม มายา ยอดอนงค์พ่อม่ายทีเด็ด ไอ้คุณผี สายใจ และทางรัก หรือไม่
ศาลฎีกาตัดสินว่า
จำเลยทั้งหกจึงไม่ต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ในนวนิยายอีก 11 เรื่องดังกล่าวแต่อย่างใดที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษามาจึงชอบแล้วศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นพ้องด้วยอุทธรณ์ของโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
ประเด็นที่ 4
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายตามอุทธรณ์ของโจทก์มีว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์เพียงใด
ศาลฎีกาตัดสินว่า
โจทก์ไม่มีตัวเลขที่ชัดเจนเกี่ยวกับจำนวนยอดจำหน่ายที่ขาดหรือลดไปมาแสดงต่อศาล ดังนั้นที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางรับฟังว่า จำเลยที่1 และที่ 2 ร่วมกันละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์เป็นหนังสือจำนวน 22 เล่มและกำหนดค่าเสียหายให้แก่โจทก์จำนวน 100,000 บาท นับว่าสมควรแล้วศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นพ้องด้วยอุทธรณ์ของโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน
3. หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง (Rule)
หลักกฎหมาย คือ หลักสัญญาต้องเป็นสัญญา หลักเสรีภาพในการทำสัญญาหลักสุจริต (Good faith) หลักตัวการตัวแทน หลักสิทธิเด็ดขาด(Exclusive rights) หลักความคุ้มครองลิขสิทธิ์ (Protection)หลักความรับผิดในความเสียหาย (Liability) หลักการใช้โดยธรรม (Fair useor Fair dealing) หลักกรรมสิทธิ์ร่วม
ป.พ.พ. ม. 800
มาตรา 800 ถ้าตัวแทนได้รับมอบอำนาจแต่เฉพาะการท่านว่าจะทำการแทนตัวการได้แต่เพียงในสิ่งที่จำเป็นเพื่อให้กิจอันเขาได้มอบหมายแก่ตนนั้นสำเร็จลุล่วงไป
พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2521 ม.27
มาตรา 27การกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งแก่งานอันมีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัตินี้โดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 15 (5) ให้ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ถ้าได้กระทำดังต่อไปนี้
(1) ทำซ้ำหรือดัดแปลง
(2) เผยแพร่ต่อสาธารณชน
พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 ม.31
มาตรา 31ผู้ใดรู้อยู่แล้วหรือมีเหตุอันควรรู้ว่างานใดได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งแก่งานนั้นเพื่อหากำไรให้ถือว่าผู้นั้นกระทำการละเมิดลิขสิทธิ์ ถ้าได้กระทำดังต่อไปนี้
(1) ขาย มีไว้เพื่อขาย เสนอขาย ให้เช่า เสนอให้เช่า ให้เช่าซื้อหรือเสนอให้เช่าซื้อ
(2) เผยแพร่ต่อสาธารณชน
(3)แจกจ่ายในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของลิขสิทธิ์
(4) นำหรือสั่งเข้ามาในราชอาณาจักร
4. เหตุผลที่ศาลฎีกาอ้าง (Ratio decidendi)
ศาลฎีกาใช้บทสันนิษฐานจากพฤติการณ์ การเบิกความสืบพยานว่าไม่น่าเชื่อถือ หรือ ไม่มีเหตุผลเพียงพอหรือมีพฤติการณ์ตามที่วินิจฉัย
“แม้ จะไม่อาจถือว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1ในการทำสัญญาจะจำหน่ายหนังสือ เพราะขณะนั้นยังไม่มีการจัดตั้งจำเลยที่1 แต่พฤติการณ์ต่อมาแสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งมีจำเลยที่ 2เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนนั้นได้รับและถือเอาประโยชน์จากการที่จำเลยที่ 2 ตกลงทำสัญญากับโจทก์ โดยการจัดจำหน่ายหนังสือนวนิยาย 6เรื่องต่อไป ถือว่า จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2ทราบและถูกผูกพันตามข้อตกลงสัญญาดังกล่าว”
“การที่หนังสือนวนิยาย 11เรื่องยังคงมีวางจำหน่ายหลังจากระยะเวลาที่มีการอนุญาตให้ใช้สิทธิผ่านพ้นไปแล้วเป็นเวลานานไม่อาจใช้เป็นข้อสันนิษฐานรับฟังให้เป็นโทษแก่จำเลยที่ 1 ได้และการที่ราคาหนังสือนวนิยายแตกต่างกันอาจเป็นเพราะสาเหตุอื่น เช่นมีการจัดพิมพ์หนังสือนวนิยายนั้นมาเป็นเวลานานโดยกรรมวิธีแบบเก่าจึงไม่สามารถจำหน่ายในราคาที่แข่งขันกับหนังสือนวนิยายฉบับที่พิมพ์ใหม่ได้ยังไม่อาจรับฟังได้ว่าหนังสือนวนิยายของกลางเป็นงานที่ลักลอบพิมพ์ใหม่หรือทำซ้ำโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ ลำพังการที่จำเลยที่ 1มีหนังสือนวนิยายดังกล่าววางจำหน่ายย่อมไม่อาจถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์”
5. วิจารณ์หมายเหตุท้ายฎีกา
มีข้อพิจารณา คือ
“การอนุญาตจึงฟังไม่ได้ว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์” และ
“การละเมิดลิขสิทธิ์ต้องทำเพื่อทางการค้าหากำไร...”
(มีข้อยกเว้นการละเมิดฯ ตามมาตรา 32(3) ติชม วิจารณ์หรือแนะนำผลงานโดยมีการรับรู้ถึงความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานนั้น)
ผู้หมายเหตุ เห็นด้วยกับคำพิพากษาดังกล่าวในประเด็นต่อไปนี้
ประเด็นแรก การที่โจทก์ได้ทำบันทึกข้อตกลงกับจำเลยที่ 2 โดยอนุญาตให้จำเลยทั้งหกจำหน่ายหนังสือนวนิยาย ทั้ง 6 เรื่อง ที่อยู่ในความครอบครองของจำเลยทั้งหกให้เสร็จสิ้นภายใน 2 ปี กรณีดังกล่าว ถือได้ว่า จำเลยได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ ให้จำหน่ายหนังสือนวนิยายดังกล่าวโดยชอบ จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ เพราะพ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 27 วางหลักการละเมิดลิขสิทธิ์ไว้ว่า“การกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งแก่งานอันมีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัตินี้โดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 15 (5)ให้ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ ถ้าได้กระทำดังต่อไปนี้
(1) ทำซ้ำหรือดัดแปลง
(2) เผยแพร่ต่อสาธารณชน”
ประกอบ คำนิยาม ตามมาตรา 4 “เผยแพร่ต่อสาธารณชน” หมายความว่า การทำให้ปรากฏต่อสาธารณชน โดยการแสดง...การจำหน่ายหรือโดยวิธีอื่นใดซึ่งงานที่ได้จัดทำขึ้น
ประเด็นที่สอง พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบ ยังไม่อาจรับฟังได้ว่าหนังสือนวนิยายของกลางอีก 11 เรื่อง คือเรื่องคู่กรรม จิตา ฌานแผลหัวใจ มงกุฎหนาม มายา ยอดอนงค์ พ่อม่ายทีเด็ด ไอ้คุณผี สายใจและทางรัก เป็นงานที่ลักลอบพิมพ์ใหม่หรือทำซ้ำ โดยละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ ลำพังการที่จำเลยที่ 1มีหนังสือนวนิยายดังกล่าววางจำหน่าย ย่อมไม่อาจถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ เพราะนิยายเหล่านี้ โจทก์เคยอนุญาตให้บริษัทรวมสาส์น(1997)จำกัดและห้างหุ้นส่วนจำกัดบำรุงสาส์น พิมพ์และจำหน่าย แต่ยังจำหน่ายไม่หมด จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ เพราะพ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 27 วางหลักการละเมิดลิขสิทธิ์ไว้ว่า“การกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งแก่งานอันมีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัตินี้โดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 15 (5)ให้ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ ถ้าได้กระทำดังต่อไปนี้
(1) ทำซ้ำหรือดัดแปลง…”
ผู้หมายเหตุ ไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาดังกล่าวในประเด็นต่อไปนี้
ประเด็นแรก การที่หนังสือนวนิยาย 11เรื่อง คือเรื่อง คู่กรรม จิตา ฌาน แผลหัวใจ มงกุฎหนามมายา ยอดอนงค์ พ่อม่ายทีเด็ด ไอ้คุณผี สายใจ และทางรัก ยังคงมีวางจำหน่ายหลังจากระยะเวลาที่มีการอนุญาตให้ใช้สิทธิผ่านพ้นไปแล้วเป็นเวลานาน ผู้หมายเหตุเห็นว่าสามารถใช้เป็นข้อสันนิษฐานรับฟังให้เป็นโทษแก่จำเลยที่1 ได้ เพราะการที่ราคาหนังสือนวนิยายที่จำเลยทั้งหก มีราคาต่ำกว่า หนังสือนวนิยายฉบับที่พิมพ์ใหม่ของโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ เพราะ พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 31 วางหลักการละเมิดลิขสิทธิ์ไว้ว่า
“ผู้ใดรู้อยู่แล้วหรือมีเหตุอันควรรู้ว่างานใดได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งแก่งานนั้นเพื่อหากำไรให้ถือว่าผู้นั้นกระทำการละเมิดลิขสิทธิ์ถ้าได้กระทำดังต่อไปนี้
(1) ขาย มีไว้เพื่อขาย เสนอขาย ให้เช่า เสนอให้เช่าให้เช่าซื้อ หรือเสนอให้เช่าซื้อ
(2) เผยแพร่ต่อสาธารณชน
(3)แจกจ่ายในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของลิขสิทธิ์…”
ประเด็นที่สอง ผู้หมายเหตุเห็นว่า แม้ว่าโจทก์จะไม่มีตัวเลขที่ชัดเจนเกี่ยวกับจำนวนยอดจำหน่ายที่ขาดหรือลดไปมาแสดงต่อศาล ทำให้ศาลกำหนดค่าเสียหายให้แก่โจทก์เพียง 100,000บาท ผู้หมายเหตุเห็นว่า ค่าเสียหายที่ศาลกำหนดให้แก่โจทก์ได้รับนั้นน้อยเกินไป ซึ่งทำให้เห็นว่าศาลไทยไม่ให้ความสำคัญ กับผู้สร้างสรรค์ผลงานที่เกิดจากการใช้สติปัญญา ความรู้ความสามารถ และความวิริยะอุตสาหะในการสร้างสรรค์งานให้เกิดขึ้น เป็นเหตุให้ต่อไปในภายภาคหน้าจะมีการละเมิดลิขสิทธิ์กันอีกมาก เพราะผู้ละเมิดลิขสิทธิ์ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง ทำให้นักเขียนเจ้าของลิขสิทธิ์ซึ่งส่วนใหญ่มีอำนาจต่อรองน้อยกว่านายทุนเจ้าของสำนักพิมพ์ ยิ่งเสียเปรียบมากขึ้นแน่นอน และประเทศไทยของเราก็คงไม่มีผู้สร้างสรรค์ที่ยิ่งใหญ่เพราะประเทศของเราไม่ให้ความสำคัญกับ“ผู้สร้างสรรค์” (Creator)
ไม่มีความเห็น