ถึงแม้บางครั้งกิจกรรม ๑ คณะ ๑ หมู่บ้าน (มมส ร่วมใจห่วงใยชุมชน) จะปรากฏในเชิงกิจกรรมที่เน้นการปลูกสร้างวัตถุมากก็จริง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าระยะต้นนั้น เราเดินงานตาม "โจทย์" ที่เกิดจาก "ความต้องการ" ของชุมชนเป็นตัวตั้ง
ถึงอย่างไรทั้งผมและทีมงาน ก็พยายามที่จะมุ่งเน้นให้เกิดการเรียนรู้และให้บริการแบบ "บูรณาการ" ด้วยการเสริมแรงให้เรียนรู้ในเรื่องวิถีวัฒนธรรม ฝากตัวเป็นลูกฮัก ฯลฯ
เช่นเดียวกับบ้านห้วยชัน ต.ขามเรียง อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม พื้นที่ความรับผิดชอบของสโมสรนิสิตคณะวิทยาศาสตร์ ซึ่งหลักๆ แล้วก็มีโจทย์การเรียนรู้และให้บริการก็คือการ "เทพื้นศาลาประชาคม"
เดิมศาลาหลังดังกล่าว ผมเคยได้แนะนำให้ชมรมพรางเขียวได้ไปซ่อมแซมมาแล้วระยะหนึ่ง ครั้งนี้จึงเป็นเหมือนการ "ต่อยอด" ในงานนั้นๆ อีกรอบ
ผมมองว่าชุมชนนี้ให้ความสำคัญกับศาลาประชาคมมากเป็นพิเศษ เพราะตั้งอยู่ในจุดอันเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของหมู่บ้าน เป็นที่พบปะพูดคุย, ประชุมหารือการงานและประเพณี, เป็นศูนย์ข่าวสาร เป็นที่วิ่งเล่นของเด็กๆ เป็นที่รับแขกบ้านแขกเมือง ฯลฯ...
ผมค่อนข้างชื่นชมกิจกรรมที่ขับเคลื่อนของสโมสรนิสิตคณะวิทยาศาสตร์อย่างมาก เพราะสามารถนำพานิสิตและบุคลากรในสังกัดคณะมาทำงานกับชุมชนได้อย่างเป็นรูปธรรม ถึงขั้นผู้บริหารก็ลงมาลุยในพื้นที่ด้วย ขณะที่อาจารย์และเจ้าหน้าที่ก็ลุยงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับนิสิตอย่างน่าชื่นชม
ความร่วมมือแบบมีส่วนร่วมในทีมสังกัดคณะเช่นนั้น ยังปรากฏชัดในเชิงการต่อยอดพันธกิจ "เพราะมหาวิทยาลัยเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน" โดยการนำกิจกรรมเชิงรุก ๑ หลักสูตร ๑ ชุมชนไปให้บริการวิชาการแก่สังคมไปในตัว ซึ่งครั้งนี้ทางคณะฯ เลือกที่จะให้ความรู้และร่วมปฏิบัติการกับชาวบ้านในเรื่องการทำ "นาโยน" ...
ไม่เพียงเท่านั้น ทางคณะยังคงผนึกกิจกรรมอื่นๆ เสริมหนุนเข้าไป เช่น การรับบริจาคหนังสือไปให้กับชาวบ้าน เพื่อเสริมสร้างกระบวนการรักการอ่าน การคิดการเขียนให้กับชุมชน โดยมุ่งเน้นให้หนังสือเหล่านั้นได้จัดเก็บอยู่ในศาลาประชาคมหลังดังกล่าว รวมถึงการสร้างประเด็นให้หมุนเวียนกันอ่านตามครัวเรือน
ก่อนหน้านั้นผมเคยได้พบปะกับรองอธิการบดีฝ่ายพัฒนานิสิตของคณะวิทยาศาสตร์ ครั้งนั้นท่านเปรยให้ผมรับรู้ว่าระยะต้นที่ลงชุมชนนั้น ก็ยังคงทำกิจกรรมหลักตามความต้องการของชุมชนนั่นแหละ โดยการเทพื้นศาลาประชาคมร่วมกับชาวบ้าน พอทำไปทำมาก็ค้นพบแนวคิดหลายเรื่อง ซึ่งเป็นทั้งที่คณะบูรณาการคิดเชิงรุกบนข้อมูลชุมชนที่คณะมีอยู่ ผสมผสานกับความต้องการพื้นฐานของชุมชนในบางประเด็น จึงหยิบยกมาขยายผลเป็นเรื่องอื่นๆ เช่น การอ่าน การจัดการกับขยะและการทำงานโยน ซึ่งกิจกรรมทั้งหมดก็เน้นกระบวนการแบบมีส่วนร่วม มีการนำภูมิปัญญาชาวบ้านมาช่วยขับเคลื่อนอย่างชัดเจน ทั้งงานช่าง และแปลงนาโยน
ครับ-นี่คือความสำเร็จเล็กๆ ที่เกิดขึ้นจากกิจกรรม ๑ คณะ ๑ หมู่บ้านที่ขับเคลื่อนขึ้นแบบบูรณาการผ่านการเรียนรู้ชุมชนควบคู่ไปกับการให้บริการวิชาการแก่สังคม ...
ครับ-นี่คือความสำเร็จที่กิจกรรม ๑ คณะ ๑ หมู่บ้าน ถูกขยายผลหรือต่อยอดทางความคิดไปสู่กิจกรรม ๑ หลักสูตร ๑ ชุมชน ซึ่งต้องยอมรับว่าวิสัยทัศน์ของคณะนั้นเป็นรูปธรรมมาก ก่อเกิดประโยชน์อย่างแท้จริง เพราะแทนที่จะไปเริ่มต้นใหม่ที่หมู่บ้านอื่น แต่กลับปักธงการเรียนรู้ที่ "บ้านห้วยชัน" พร้อมๆ กับการนำพานิสิตและอาจารย์กลับเข้าไปทำงานในพื้นที่นั้นอีกรอบ
และเป็นที่น่าชื่นชมว่าสายสัมพันธ์ของนิสิตกับชาวบ้านนั้นก็ยังคงแน่นแฟ้นสืบมาจนบัดนี้ เฉกเช่นเมื่อครั้งหมู่บ้านประสบภัยน้ำท่วม นิสิตก็ไม่รีรอที่จะมุ่งลงไปกรอกกระสอบทราย และอื่นๆ อีกจิปาถะ
นี่คือการเติบโตเล็กๆ ในวิถีกิจกรรม ๑ คณะ ๑ หมู่บ้านที่ขับเคลื่อนด้วยแนวคิด "จิตสำนึกสาธารณะ : เพราะมหาวิทยาลัยเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน"
หมายเหตุ
ภาพ โดย สโมสรนิสิตคณะวิทยาศาสตร์
เวลา...ความผูกพัน
ความคุ้นเคย...เป็นญาติอย่างยิ่ง
ยิ่งให้ยิ่งได้...ใจ
ก่อร่างสร้างร่วมกัน....จิตสาธารณะ
เราก็เริ่มจากการทำตามความต้องการของชุมชน จึงก่อเกิดของแนวคิดเรื่อง ฝากตัวนิสิต เป็นลูกของชุมชน เพราะ "มหาวิทยาลัยคือส่วนหนึ่งของชุมชน" ถึงแม้ระยะแรกเราก่อตั้งแนวคิดนี้ด้วยความทุลักทุเลพอสมควร อาจจะด้วยประการณ์ในการทำงานของแต่ละฝ่ายที่ไม่เท่ากัน แต่เมื่อเกิดความร่วมมือทั้งของผู้บริหารของคณะ และชุมชนเอง เราก็ทำกิจกรรมนี้อย่างมีความสุข
ขอขอบคุณที่รองคณบดีฝ่ายพัฒนานิสิต คณะวิทยาศาสตร์ ที่ท่านเห็นความสำคัญของกิจกรรมพัฒนานิสิต จนก่อเกิดการบูรณาการหลายเรื่องราวควบคู่ไปพร้อมกับกิจกรรมนิสิต
สวัสดีครับ อ.ขจิต ฝอยทอง
ขอบพระคุณสำหรับการเยี่ยมเยียนอย่างสม่ำเสมอ นะครับ
กรณีคณะเภสัช,และคณะวิทย์ฯ นั้น ถือว่าเป็นการคิดที่เกิดประโยชน์อย่างมหาศาล การทำสวนสมุนไพร เป็นการฟื้นเรื่องราวเหล่านั้นให้กลับมาเป็นศูนย์เรียนรู้ภูมิปัญญาในชุมชนอย่างแท้จริง หลังจากปล่อยร้างไว้ระยะหนึ่ง และผมชอบตรงมีการคิดครบวงจรตั้งแต่การปลูก การบำรุงรักษา การเรียนรู้และการใช้ประโยชน์
ส่วนกรณีคณะวิทย์นั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นกิจกรรมที่มีการต่อยอดไปสู่การบริการวิชาการแก่สังคมที่ชัดเจนขึ้น และการทำซ้ำในชุมชนนั้น ถือเป็นจังหวะที่ดี เพราะมีทุนเดิมอยู่แล้ว จึงย่อมช่วยให้การทำงานราบรื่นมากยิ่งขึ้น
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ อ.ทพญ.ธิรัมภา
แนวคิดเหล่านี้ ผมสร้างวาทกรรมนำพาแก่นิสิต คือ "เพราะมหาวิทยาลัยเป็นส่วนหนึ่งของชุน" ซึ่งครอบคลุมทั้งชุมชนรอบมหาวิทยาลัยและชุมชนในจังหวัดมหาสารคาม เพื่อวางเป็นกลไกการเรียนรู้ชุมชนและบริการสังคมไปพร้อมๆ กัน ขณะเดียวกันก็ไม่ปิดกั้นกระบวนการเหล่านี้ที่จะขับเคลื่อนไปสู่ที่ต่างๆ เพียงแต่ระยะต้นนี้ เน้นกลุ่มพื้นที่ใกล้ๆ มหาวิทยาลัยเสียก่อนฯ
ขอบพระคุณครับ