ภาคีระบบสุขภาพปฐมภูมิจัดการประชุมวิชาการ มหกรรมสุขภาพชุมชน “New Management New Possibility” ระหว่างวันที่ ๑๒ - ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๔ ณ ห้องประชุมอิมแพ็ก เมืองทองธานี กรุงเทพมหานคร
เขาจัดพิมพ์หนังสือ “เสริมพลัง สร้างการมีส่วนร่วม: หัวใจของการจัดการใหม่เพื่อพัฒนาระบบสุขภาพชุมชน” และขอให้ผมเขียนเรื่อง “การจัดการความรู้กับการพัฒนาระบบสุขภาพชุมชน” จึงนำบทความมา ลปรร. ดังต่อไปนี้
ระบบสุขภาพชุมชนมีลักษณะซับซ้อน มีปัจจัยเกี่ยวข้องหลากหลายมากมาย และไม่หยุดนิ่ง มีการเปลี่ยนแปลงปรับตัวอยู่ตลอดเวลา ในทางวิชาการเรียกว่าเป็น “ระบบที่ซับซ้อนและปรับตัว” (Complex-Adaptive Systems) แต่ละชุมชนต่างก็มีระบบของตน ระบบของต่างชุมชนมีทั้งส่วนที่เหมือนกันและส่วนที่แตกต่างกัน ระบบของแต่ละชุมชนต่างก็เป็นอนุระบบอยู่ภายในระบบใหญ่ของประเทศ หลากหลายระบบ เช่นระบบการเมืองการปกครอง ระบบการศึกษา ระบบการผลิต การค้า การเกษตร การอุตสาหกรรม ระบบสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ที่ต่างก็เป็นระบบที่ซับซ้อนและปรับตัวเช่นเดียวกัน
จิตวิญญาณหรือแนวคิดหลักของระบบสุขภาพของประเทศไทย มุ่งเป้าหมาย “สุขภาวะ” (well-being) ของผู้คน โดยเน้นให้บุคคลเอาใจใส่ดูแลสุขภาวะของตนเอง ครอบครัว และเอื้อเฟื้อออกไปที่ผู้คนที่อยู่ร่วมชุมชน เป็นระบบสุขภาพที่เน้นการดูแลตนเองและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่ใช่มุ่งแต่จะพึ่งพาระบบบริการสุขภาพ
ระบบสุขภาพของประเทศไทยเน้นการสร้างเสริมสุขภาพ และการป้องกันโรค มากกว่าการแก้ไขเมื่อมีโรค เราเชื่อว่า แนวคิดเช่นนี้จะทำให้ผู้คนในสังคมของเรามีสุขภาพดีโดยมีค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพต่ำ (Good health at low cost)
ด้วยแนวคิดเช่นนี้ ระบบสุขภาพชุมชนจึงมีความสำคัญยิ่ง และระบบบริการสุขภาพทุกระดับพึงส่งเสริมสนับสนุนความเข้มแข็งของระบบสุขภาพชุมชน
การสนับสนุนความเข้มแข็งของระบบสุขภาพชุมชนทำได้หลายอย่าง แต่ที่สำคัญที่สุดคือสนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้ ให้ระบบสุขภาพชุมชนของแต่ละชุมชนเป็นระบบที่ “เรียนรู้และปรับตัว” อยู่ในท่ามกลางบริบทความเป็นจริงของแต่ละชุมชนที่ไม่เหมือนกัน ระบบสุขภาพชุมชนของต่างชุมชนมีหลักการเหมือนกัน แต่รายละเอียดแตกต่างกัน เนื่องจากบริบทที่แตกต่างกันดังกล่าวแล้ว
การจัดการความรู้ เป็นเครื่องมือของการเรียนรู้และปรับตัว ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้และปรับตัวของบุคคล องค์กร ชุมชน และของสังคมหรือประเทศ ดังนั้น ระบบสุขภาพชุมชนของชุมชนใดก็ตาม พึงมีการจัดการความรู้เป็นส่วนหนึ่งของระบบ บูรณาการแนบแน่นอยู่กับระบบจนเป็นเนื้อเดียวกัน อยู่กับชีวิตประจำวันตามปกติของระบบ
สุขภาพของชุมชน เกิดจากการลงมือปฏิบัติร่วมกันของคนในชุมชน เพื่อสร้างเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค และบำบัดโรคเมื่อเกิดขึ้น ย้ำว่าจุดสำคัญอยู่ที่การปฏิบัติ และเมื่อมีการปฏิบัติก็ย่อมเกิดผลของการปฏิบัติ การจัดการความรู้คือกระบวนการนำผลของการปฏิบัติมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน เพื่อยกระดับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสุขภาวะ และปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างซับซ้อน รวมทั้งเพื่อนำเอาความรู้เชิงทฤษฎีมาตีความทำความเข้าใจบนฐานของผลการปฏิบัติ ความรู้ปฏิบัติ (Tacit Knowledge) เกี่ยวกับสุขภาวะของคนในชุมชนก็จะยกระดับขึ้นอยู่ตลอดเวลา ผ่านการปฏิบัติและการจัดการความรู้
ในชีวิตจริงของผู้คน การเรียนรู้ที่มีพลังที่สุดคือการเรียนรู้จากการปฏิบัติ และการจัดการความรู้คือเครื่องมือช่วยให้เกิดการเรียนรู้จากการปฏิบัติได้ง่าย และได้อย่างมีพลัง
เจ้าหน้าที่ของระบบสุขภาพชุมชนทำหน้าที่อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้
นอกเหนือจากความรู้และทักษะในการให้บริการสุขภาพที่จำเป็นแล้ว เจ้าหน้าที่ในระบบสุขภาพชุมชนต้องมีทักษะในการทำหน้าที่เป็น “คุณอำนวย” ของการจัดการความรู้สุขภาพชุมชน เพื่อส่งเสริมให้ภารกิจของสุขภาพชุมชนไปอยู่ที่ผู้คนในชุมชนเป็นส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมด เจ้าหน้าที่ทำหน้าที่เป็นผู้สนับสนุนและผู้อำนวยความสะดวกเป็นหลัก ไม่ใช่เป็นผู้ทำให้เกิดสุขภาวะของผู้คนและชุมชน
ทักษะในการทำหน้าที่ “คุณอำนวย” (Knowledge Facilitator) ของการจัดการความรู้ เป็นสิ่งที่ต้องฝึก เพราะเป็นทักษะมากกว่าเป็นความรู้เชิงทฤษฎี
เมื่อมองจากมุมของการจัดการความรู้ ผู้คนในชุมชน เป็นสมาชิกของ “ชุมชนนักปฏิบัติ” (CoP - Community of Practice) เพื่อเป้าหมายสุขภาวะของตนเองและของเพื่อร่วมชุมชน และเจ้าหน้าที่ของระบบสุขภาพชุมชนทำหน้าที่ “คุณอำนวย” ของ CoP เป็นหลัก
มองอีกมุมหนึ่ง ระบบสุขภาพชุมชน เป็นระบบที่มีเป้าหมายหนุนการเรียนรู้ของผู้คนในชุมชน ในส่วนที่มีเป้าหมายเพื่อสุขภาวะ เป็นการเรียนรู้ต่อเนื่องเป็นวงจรที่ไม่รู้จบ และเป็นการเรียนรู้ร่วมกันผ่านการปฏิบัติ (Interactive Learning Through Action) โดยมีเจ้าหน้าที่เป็น “คุณอำนวย” ของการเรียนรู้นี้
การเรียนรู้จากการปฏิบัตินั้น นอกจากเน้นเรียนรู้จากการปฏิบัติของตนเองแล้ว ยังควรเรียนรู้จากการปฏิบัติของคนอื่น หรือชุมชนอื่นด้วย โดยเฉพาะการเรียนรู้จากชุมชนที่มีผลสัมฤทธิ์ด้านสุขภาพดีเป็นพิเศษ ชุมชนเหล่านี้มี “ความรู้ปฏิบัติ” ด้านสุขภาพที่ดีเด่น หรือเรียกว่ามี Success Story หรือมี Best Practice การจัดการความรู้จาก Success Story ของชุมชนอื่น เรียกว่า SSS (Success Story Sharing) ทำโดยจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ หรือไปดูงาน โดยใช้เครื่องมือแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในการดูงานที่เรียกว่า “เพื่อนช่วยเพื่อน” (Peer Assist) ซึ่งอ่านวิธีการได้ที่ http://www.gotoknow.org/blog/thaikm/2415
นอกจากแต่ละชุมชนมีการรวมตัวกันของคนในชุมชน เป็น “ชุมชนนักปฏิบัติ” เพื่อเรียนรู้จากปฏิบัติการสุขภาวะของตนเองและครอบครัวแล้ว ชุมชนใกล้เคียงกันควรรวมตัวกันเป็น “เครือข่ายการเรียนรู้” สุขภาวะ เพื่อใช้ SSS เป็นเครื่องมือแลกเปลี่ยนเรียนรู้เคล็ดลับต่างๆ ที่ค้นพบจากการปฏิบัติ
เจ้าหน้าที่สุขภาพชุมชน พึงทำหน้าที่ “คุณอำนวย” ให้เกิดเครือข่าย และมีกิจกรรม SSS อย่างสม่ำเสมอ
ในวงการเรียนรู้สมัยใหม่ ได้มีคำว่า PLC (Professional Learning Community) ซึ่งมีความหมายว่า คนที่เป็นคนในวงการวิชาชีพ (Profession) ต้องมีการเรียนรู้ตลอดชีวิต และต้องรวมตัวกันเรียนรู้ เป็น “ชุมชนเรียนรู้” ของผู้ประกอบวิชาชีพเดียวกัน เพื่อเรียนรู้วิธีการทำหน้าที่ของวิชาชีพให้ได้ผลดียิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นวงจรของการเรียนรู้ที่ไม่มีวันจบสิ้น
ดังนั้น เจ้าหน้าที่ของระบบสุขภาพชุมชนแต่ละชุมชน จึงควรรวมตัวกันเป็น PLC เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากประสบการณ์การทำหน้าที่ ยกระดับความรู้ความเข้าใจและทักษะในการทำหน้าที่อย่างต่อเนื่องเป็นวงจรไม่รู้จบ ซึ่งหมายความว่า เจ้าหน้าที่ก็ใช้การจัดการความรู้เพื่อยกระดับความรู้และทักษะการทำงานของตนเองด้วย
ระบบสุขภาพชุมชนของประเทศไทย จึงควรมีกลไกส่งเสริมอำนวยความสะดวกของ PLC ของเจ้าหน้าที่ที่ทำงานในระบบสุขภาพชุมชน โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับความรู้ความเข้าใจและทักษะในการทำงานต่อเนื่องไม่รู้จบ และเพื่อทำให้การทำหน้าที่เป็นความตื่นเต้นสนุกสนานไม่จำเจน่าเบื่อ
PLC เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตการทำงานประจำวันตามปกติ และส่วนหนึ่งของกิจกรรมเรียนรู้จากการพัฒนางาน ยกระดับขึ้นเป็น R2R (Routine to Research)
แต่ละพื้นที่ (เช่นอำเภอ) มีการรวมตัวกันของสถานบริการเป็นเครือข่ายความร่วมมือในการทำงานและการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาระบบบริการสุขภาพในพื้นที่ ที่เน้นการส่งเสริมให้ผู้คนในชุมชนดูแลสุขภาวะของตนเองและช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน เน้นการเรียนรู้และพัฒนาต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง โดยใช้เครื่องมือ SSS, CoP, PLC, R2R, Lean และอื่นๆ
เป้าหมายคือระบบบริการสุขภาพชุมชนที่มีหัวใจของความเป็นมนุษย์ ก่อผลสุขภาวะที่ดีของประชาชน และเจ้าหน้าที่ในระบบบริการก็มีสุขภาวะที่ดี รวมทั้งค่าใช้จ่ายไม่สูง (Good health at low cost) และมีการปรับปรุงพัฒนาต่อเนื่อง
เวลานี้ประเทศไทยยังไม่มีระบบสุขภาพชุมชนที่ถือได้ว่าดีเยี่ยม ยังต้องมีการพัฒนาต่อไปอีก โดยที่ไม่มีรูปแบบหรือพิมพ์เขียวตายตัวให้เราดำเนินการตามอย่าง เราต้องพัฒนาขึ้นเองจากสภาพความเป็นจริงของสังคมไทย และจากการลงมือปฏิบัติและพัฒนาของคนไทยเอง
นั่นคือ ระบบสุขภาพชุมชนไทย ต้องพัฒนาขึ้นเองจากชุมชนไทย เพื่อชุมชนไทย และ โดยชุมชนไทย โดยที่เจ้าหน้าที่หรือวงการวิชาชีพสุขภาพทำหน้าที่ “คุณอำนวย” ให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ SSS ระหว่างชุมชนต่างๆ ดังกรณีโครงการประชุมวิชาการ มหกรรมสุขภาพชุมชน ระหว่างวันที่ ๑๒ – ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๔ ก็น่าจะนับเป็นการประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ SSS ระหว่างชุมชนต่างๆ ได้ด้วย ซึ่งก็คือการใช้การจัดการความรู้เพื่อพัฒนาระบบสุขภาพชุมชนของประเทศไทย จากพลวัตของการพัฒนาสุขภาพชุมชนส่วนย่อยของแต่ละชุมชน ที่มีการศึกษารวบรวมมานำเสนอเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้มากมายในการประชุมนี้
เป็นการพัฒนาระบบใหญ่ จากฐานความเป็นจริงของระบบย่อย (bottom-up) นำมาตีความและยกระดับตามแนวทางของระบบใหญ่ที่กำหนดจากฝ่ายบริหารระดับประเทศ (top-down) และเป็นการพัฒนาแบบต่อเนื่องไม่หยุดนิ่ง คล้ายเป็นระบบที่มีชีวิต
ขณะนี้เป็นที่เข้าใจกันชัดเจนแล้วว่า โลกสมัยใหม่ ที่เรียกว่าโลกในศตวรรษที่ ๒๑ เป็นโลกแห่งการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วและไม่แน่นอน ไม่คาดฝัน ผู้คนในศตวรรษนี้จึงต้องมีทักษะเพื่อการดำรงชีวิตในสภาพเช่นนั้น ที่เรียกว่า 21st Century Skills นักวิชาชีพสุขภาพชุมชน หรือเจ้าหน้าที่ที่ทำงานในระบบสุขภาพชุมชน จึงต้องฝึกฝนตนเองจากการทำงาน ให้มี 21st Century Skills โดยใช้ PLC เป็นเครืองมือเพื่อบรรลุทักษะดังกล่าว ท่านที่สนใจรายละเอยดของ 21st Century Skills ค้นได้ที่ http://gotoknow.org/blog/thaikm/tag/21st Century Skills
ที่จริง ทักษะสำหรับมนุษย์ในศตวรรษที่ ๒๑ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนทุกคน ไม่ใช่จำเป็นต่อเจ้าหน้าที่ในระบบสุขภาพชุมชนเท่านั้น การเรียนรู้ของคนในชุมชนเพื่อสุขภาวะของตนเอง เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้เพื่องอกงามทักษะสำหรับมนุษย์ในศตวรรษที่ ๒๑
การฝึกฝนทักษะด้านการจัดการความรู้
ความรู้เบื้องต้นของการจัดการความรู้อ่านได้จากหนังสือ การจัดการความรู้ ฉบับนักปฏิบัติ เขียนโดยวิจารณ์ พานิช และ การจัดการความรู้ฉบับมือใหม่หัดขับ เขียนโดยประพนธ์ ผาสุขยืด และหนังสือที่เขียนโดยผู้อื่น รวมทั้งอาจอ่านได้จากบันทึกชุด KM วันละคำ ที่ผมเขียนเป็นประจำลงใน บล็อก Gotoknow.org ซึ่งเข้าไปอ่านได้ที่ http://gotoknow.org/blog/thaikm/tag/km วันละคำ
เนื่องจากการจัดการความรู้เป็นเครื่องมือ และการใช้เครื่องมือนี้ได้อย่างมีพลังต้องการการฝึกฝน โดยอาจฝึกกันเอง หรือใช้บริการของหน่วยงานที่ให้บริการการฝึกก็ได้ สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม (สคส.) เป็นมูลนิธิที่จัดบริการฝึกอบรมด้านการจัดการความรู้ ดูรายละเอียดได้ที่ www.kmi.or.th
…………………….
วิจารณ์ พานิช
๒๔ ก.ย. ๕๔
หมออนามัยในท้องถิ่น...ติดตามบทความของท่านมาตลอดครับ....สุดยอดจริงๆ