กราบเท้า คุณลุงคุณป้าด้วยความเคารพรัก
ค่ำคืนนี้จันทร์แรมไม่สดใสแต่ลมยังพัดรวยรินพร้อมกลิ่นดอกจำปีที่พาให้ชื่นใจนานแค่ไหนแล้วที่หนูหน่อยไม่ได้เขียนจดหมายทั้ง ๆ ที่เคยเป็นงานอดิเรกที่แสนรักจำได้ว่าหลังจากที่คุณลุงคุณป้าและเพื่อนผู้มากประสบการณ์ทยอยจากกันไปหมด พวกเราก็หันมาติดต่อกันบนทางสายใหม่ที่รวดเร็วทันใจ หากแต่ความละเมียดละไมและความอดทนของจิตวิญญาณกลับตรงกันข้าม
อาิทิตย์นี้หนูหน่อยเดินสายไปอบรม ไม่อยู่โรงเรียนรวมสี่วัน ได้ไปเห็นโลกภายนอก เห็นผู้คนที่แตกต่าง ทำให้ชีวิตมีชีวาไม่น้อย แถมยังได้เก็บเกี่ยวสิ่งดี ๆ จากผู้คนรอบข้างที่พบเห็น คนแต่ละคนมีอะไรมากมายให้เราได้ศึกษาได้เรียนรู้เปรียบเหมือนหนังสือหนึ่งเล่มที่รอให้เราค้นหาโดยเริ่มต้นจากหน้าปกนะคะ บางเล่มหน้าปกสวย แต่อ่านไม่กี่หน้าก็ต้องวาง บางเล่มอ่านแล้ววางไม่ลงถึงแม้หน้าปกจะไม่เร้าใจก็ตามที ฮา ฮา..
พูดถึงหนังสือก็ขอเล่าเรื่องหนังสือที่วางไม่ลงสักหนึ่งเล่มให้ฟังนะคะ หนังสือเล่มนี้ได้มาจากคุณไพลิน รุ้งรัตน์ หรือคุณชมัยภร แสงกระจ่าง นักเขียนนามอุโฆษท่านแจกเพราะความเมตตา เมื่อวันที่ไปอบรมเรื่อง "มหัศจรรย์ของการอ่าน" (การอ่านมหัศจรรย์ดังว่าเพราะอย่างน้อยก็ทำให้เราได้พบกันนะคะคุณลุง)
เมื่อวานฤกษ์งามยามดีนั่งอ่านตั้งแต่ทุ่มเศษ ๆ จนห้าทุ่มและมาต่อตอนเช้าอีกหนึ่งชั่วโมงจนจบ ๓๐๑ หน้า ทำไ้ด้ยังไงคะเนี่ยเก่งจังนะคะ...
ปกติจะไม่ค่อยอ่านหนังสือนวนิยายประโลมโลก ชอบอ่านอะไรที่มันได้สาระทำให้เกิดแรงบันดาลใจหรืออ่านหนังสือที่ทำให้เกิดปัญญาญาณมากกว่า แต่ไหน ๆ ก็ได้รับมาแล้วก็ต้องอ่านให้จบเปิดโลกทัศน์ตัวเองนะคะ ฮา ฮา
ใครจะไปรู้ว่าแค่หยิบอ่านก็ "เพลิน"
ตกกับดักของนักเขียนที่ล่อหลอกเราด้วยจินตนาการจนเราเคลิบเคลิ้มหลงใหล
คิดว่าตัวเองเป็นนางเอกเสียอีก เรื่องนี้วางโครงเรื่องได้น่าสนใจเป็นเรื่องราวของคนรักหนังสือสามคนที่โคจรมาพบกันแม้ต่างสถานะแต่ก็ก็จับวางมาเกี่ยวข้องกันได้อย่างลงตัว
อีกทั้งยังผูกด้วยความรักระหว่างพี่น้องและรักสามเส้าระหว่างชายสองหญิงหนึ่งที่คนอ่านต้องลุ้นสุดตัว
การดำเนินเรื่องมีหนังสือเป็นสะพานรักและคลี่คลายปัญหาความขัดแย้ง
เปิดเรื่องด้วยพี่น้องสองคนที่แตกต่างทางความคิดและความสนใจ
พี่ชาย เฌอ
อักษรวงศ์จบวิศวกรรมศาสตร์วัยยี่สิบห้า ส่วนน้องสาว
ชลา อักษรวงศ์
กำลังเรียนอักษรศาสตร์ปีสามที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเธอคือผู้รักหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ
แต่กลับต้องทุกข์ระทมฝังตัวเองอยู่แต่ห้องหนังสือเพราะพ่อแม่ผู้มีฐานะและชื่อเสียงด่วนจากไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ทั้งคู่
และได้ฝากฝังลูกทั้งสองให้เพื่อนสนิทอาจารย์ลายสือ
ซึ่งจบทางด้านอักษรศาสตร์เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยช่วยดูแลเป็นญาติใกล้ชิด
ส่วนนางเอกนั่นเล่าเป็นเด็กบ้านนอกไม่มีพ่อแม่ดูแลต้องอยู่กับป้า คอยช่วยป้าขายขนมจีน และมีหน้าที่ล้างจาน เวลาว่างก็สนใจแต่หนังสือ เหตุการณ์ที่ทำให้้นางเอกประทับใจไม่รู้ลืมก็คือ วันที่เธออยากได้หนังสือเรื่องเจ้าชายน้อยซึ่งหมายมั่นตั้งแต่แรก แต่พอไปขอเงินป้ามาได้ หนังสือนั้นก็ขายหมดแล้ว เธอได้แต่ยืนร้องไห้
จนมีชายหนุ่มวัยกลางคนยื่นหนังสือเล่มนั้นให้ด้วยสายตาที่เมตตาและอ่อนโยน เธอได้แต่นำเงินเหรียญรวมแปดบาทยัดใส่มือชายคนนั้นแล้ววิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว และ "เจ้าชายน้อย" ก็กลายเป็นแรงบันดาลให้เธอได้เรียนต่อสอบชิงทุนได้จนกลายมาเป็นอาจารย์ภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้มาเป็นครูของชลา อักษรวงศ์ในเวลาต่อมา
สุดท้ายใครเลยจะคิดว่าทั้งเฌอ และ ลายสือจะมารักผู้หญิงคนเดียวกันคือ "ครูกรรพุม" อาจารย์ลายสือผู้หลงรักหนังสือมากกว่าผู้หญิง ใช่ว่าจะไม่เคยมีรักแต่หาผู้หญิงที่รักหนังสือเหมือนตนไม่ได้จึงคุยกันไม่รู้เรือง ขออยู่คนเดียวจนเป็นหนุ่มใหญ่โดยไม่คิดหมายปองใคร แต่เมื่อมาพบกับคุณครูกรรพุมและเธอคือเด็กหญิงที่เขาเคยมอบหนังสือ "เจ้าชายน้อย" เมื่อสิบห้าปี จึงเกิดสะพานรักและเป็นจุดเริ่มต้นของความปิติที่ทำให้ชีวิตเขาดูมีชีวาและสดใสกว่าเดิม
ส่วนพระเอกของเราผู้มีน้องสาวเป็นแม่สื่อ
แต่ไม่เคยชอบอ่านหนังสือแม้แต่น้อยจนกลายเป็นเส้นขนานระหว่างน้องสาวและครูของน้องสาว
แต่สุดท้ายทำไมนางเอกจึงเลือกคนที่มีนิสัยแตกต่างและตรงกันข้าม
น่าคิดนะคะ
สิ่งที่น่าชื่นชมก็คือ
ตอนที่นางเอกบังคับให้พระเอกอ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่มีขนาดหนาเป็นหนังสือแปลที่อ่านยาก
จนพระเอกถอดใจและยอมถอยให้คนที่เหมาะสมกว่านั่นคือคนที่เขาเคารพรักเหมือนพ่อ....ทำให้นางเอกเข้าใจและยอมรับ
ตรงนี้ชี้ิให้เห็นว่าความรักที่แท้นั่นคือการยอมรับธรรมชาติของกันและกันได้หาใช่การบังคับจิตใจ และการเปลี่ยนแปลงที่ดีต้องเปลี่ยนจากภายในใจของเขาเอง
ในด้านความขัดแย้งระหว่างพี่น้อง มีเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้พี่น้องโกรธกันหลายเดือนก็คือตอนที่น้องสาวเจ็บปวดเพราะเข้าใจเพื่อนพี่ชายคือโทนผิดเพราะโทนวานให้ชลาช่วยเลือกหนังสือเพื่อไปจีบสาวคนรักผู้ซึ่งมีชายหนุ่มคนใหม่มาหมายปอง
ขณะที่กำลังเลือกหนังสือรักมากมายเพื่อจะได้นำไปอ่านนั่นเอง
สายตาโทนก็เหลือบไปเห็นแฟนสาวไปกับชายหนุ่มคนใหม่จึงทำให้เขาเจ็บปวดและโกรธแค้น
จังหวะเดียวกับที่ชลาถามว่าต้องการหนังสืออะไรเพิ่มอีกไหม
เขากลับตอบไปด้วยน้ำเสียงที่โกรธแ้ค้นเพื่อหวังให้คนทั้งสองได้ยินว่า
"หนังสือรักระยำ"
แต่คนที่ได้ยินเต็มหูคือชลาผู้มีจิตใจอ่อนไหวง่ายกลับเสียใจเป็นที่สุด และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความบาดหมางของคู่รักคู่่น้องซึ่งผูกพันกับเพื่อนพี่ชายตั้งแต่ยังเยาว์วัยโดยที่ต่างไม่รู้ใจของตนเอง
ช่วงนั้นชลาเสียใจเก็บตัวเองอยู่ในห้องหนังสือ พี่ชายเรียกกินข้าวก็ไม่กินจนพี่ชายโกรธดึงหนังสือจากมือน้องซึ่งกำลังอ่านอย่างติดพันไป น้องสาวทวงคืนพี่ก็ไม่ให้ สุดท้ายหนีเข้าห้อง พี่ชายเรียกก็ไม่ออกมาจึงบอกว่าจะนำหนังสือไปเผาหากไม่ออกมา และพี่ชายที่มีนิสัยแข็งกระด้างเข้าไม่ถึงหัวใจคนรักหนังสือก็เผาหนังสือเล่มนั้นจริง ๆ น้องสาวได้แต่ช็อกเสียใจให้คนรับใช้ช่วยกันดับไฟ แต่หนังสือที่เก่าแก่ก็ชำรุดและเสียหายเกินกว่าที่จะอ่านได้ และแล้วพี่ชายก็ต้องเสียใจกับการกระทำของตนเองเมื่อน้องสาวพยายามหลบหน้า
ส่วนโทนพยายามปรับความเข้าใจติดต่อกับชลาอย่างไรเธอก็ไม่เปิดโอกาสให้ ความรู้สึกของเด็กหนุ่มบ้านนอกที่เสียคนรักและน้องสาวเพื่อนจึงเจ็บปวดเกินทน เขาลาออกจากงานและเดินทางแสวงหาชีวิตใหม่อย่างไร้จุดหมาย จนกระทั่งไปพบร้านหนังสือ และคนขายหนังสือใจดีที่ยอมให้ยืมหนังสือ ฟ้าใกล้ แผ่นดินไกล ของ เขมานันทะให้อ่าน และหนังสือเล่มนี้กลายเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตโทนเพราะเขาเริ่มสนใจภาพวาดลายเส้นที่ประกอบหนังสือเขากลายเป็นนักวาดภาพลายเส้นพร้อม ๆ กับการค้นหาชีวิตใหม่ของตัวเองและเพิ่งรับรู้ว่าตนเองแอบรักน้องสาวเพื่อนโดยไม่รู้ตัวจากความสัมพันธ์ที่น้องสาวเพื่อนคอยแนะนำหนังสือและซื้อหนังสือให้กับหญิงที่เขาหมายปอง
โทนผจญโลกภายนอกและเรียนรู้โลกภายในตนโดยได้ไปอยู่กับชาวปกาเกอะญอ (กะเหรี่ยง) สัมผัสธรรมชาติความบริสุทธิ์ที่เรียบง่ายพร้อม ๆ กับหมั่นวาดภาพลายเส้น และส่งไปรษณียบัตรซึ่งบอกเล่าความรู้สึกสั้น ๆ ถึงการเดินทางและความคิดถึง ครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างสม่ำเสมอจนผ่านไปถึงประเทศลาว และเดินทางกลับมาบ้านอักษรวงศ์อีกครั้ง หลังจากที่ใช้เวลาค้นหาคำตอบใ้ห้ชีวิตถึงสองปีโดยที่ไม่พบ
เขากลับมาด้วยความหวังว่าจะพบหญิงสาวคนที่เขารักจับใจ แต่กลับทราบจากเฌอว่า น้องไปเรียนต่อเกี่ยวกับการวาดภาพที่อิตาลีแล้ว และช่วงหลังน้องสาวก็เปลี่ยนไปนอกจากชอบอ่านหนังสือแล้วยังวาดภาพเต็มบ้าน
โทนทราบข่าวว่าชลาหรือน้องไปเรียนต่อพร้อม ๆ กับเพื่อนชื่อนรินทรเด็กหนุ่มที่แอบหลงรักน้องยิ่งทำให้เขาเจ็บปวดและเสียใจไม่น้อย จนมีโอกาสได้พบกับอาจารย์ลายสือผู้ซึ่งบัดนี้ยอมเสียสละหญิงที่ตนรักและมีหนังสือ "อิสระแห่งชีวิต" ของ "กฤษณะมูรติ" คอยสมานบาดแผลใจ และโทนก็มีโอกาสได้อ่านหนังสือดังกล่าวจนเข้าใจแก่นแท้แห่งความรัก
อาจารย์ลายสือเป็นธุระให้เฌอและกรรพุมได้แต่งงานกันแม้ใจจะเจ็บปวดก็ไม่แสดงความรู้สึก ส่วนชลาเดินทางกลับจากต่างประเทศ เธอมองหาใครคนหนึ่งซึ่งคิดว่าจะมารับเธอด้วย แต่หารู้ไม่ว่าเขาแอบมารับเธอห่าง ๆ โดยเธอไม่รู้ตัว และยังหลงเข้าใจผิดว่าเธอนั้นรักนรินทร
สุดท้ายพี่ชายและน้องสาวเข้าใจกันได้อย่างไร และความรักของชลาและโทนจะลงเอยแบบไหน
ในเมื่อโทนเริ่มเงียบหายเก็บตัวเองเช่าบ้านที่ท้ายสวนเล็ก ๆ
รับจ้างทำงานออกแบบก่อสร้างบ้านและวาดรูปประกอบหนังสือ
กลายเป็นฤๅษีไว้หนวดเครารุงรัง
คงต้องทิ้งท้ายให้คนอ่านไปจินตนาการกันเองต่อแล้วกระมังคะคุณลุง
คุณป้า คนเล่าเริ่มง่วงนอนแล้วค่ะ
หนังสือเล่มนี้เล่มเดียวอ้างอิงถึงนวนิยาย ปรัชญาชีวิตที่น่าสนใจรวม ๓๘ เล่ม มีบรรณานุกรมอ้างอิงไว้ท้ายเล่ม นับเป็นงานเขียนนวนิยายที่แปลกกว่าเล่มอื่นแต่ก็สะดวกสำหรับผู้สนใจนะคะ
ที่สำคัญหากจะอ่านหนังสือให้สนุกต้องฝึกวิจารณ์ ค้นหาแก่นเรื่อง ความสมจริงของตัวละคร ฉาก การเปิดปิดเรื่อง ปมของเรื่องที่สำคัญถ้าจะอ่านให้ได้อรรถรสต้องรู้จักประวัติผู้เขียนเพราะเบื้องหลังม่านวรรณกรรมแต่ละเรื่องย่อมสะท้อนตัวตนของคนเขียนโดยสิ้นเชิง
แท้จริงชีวิตคนเราก็ไม่ต่างจากตัวละคร อ่านตัวละครแล้วก็ต้องย้อนกลับมาอ่านตัวเอง อ่านคนรอบข้าง ใช้ทั้งหลักจิตวิทยาใช้ทั้งหลักพระอภิธรรมมาจับในเรื่องการทำงานของจิต เจตสิก มองทะลุเข้าไปถึงแ่ก่นแท้แห่งจิตวิญญาณ ขณะอ่านก็ศึกษาอารมณ์ของคนอ่านที่หนีไม่พ้นกฎอนิจจังมีขึ้นมีลงเดี๋ยวหัวเราะร้องไห้ไปกับบทโดยมีผู้้เขียนเป็นคนกำกับ แต่สิ่งสำคัญอย่าลืมบทชีิวิตที่เราเองเป็นผู้กำกับ
ชีวิตที่ขาดสติทำอะไรตามอารมณ์ย่อมถูกไฟแห่งตัณหาเผาไหม้โดยง่าย คนที่ขาดคุณธรรมกำกับย่อมขาดหางเสือนำทิศทาง...
ราตรีสวัสดิ์ค่ะ
หนูหน่อย
(ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ต)
ขอบคุณคะ
ในเรื่องประโลมโลก ก็มีความจริงมุมหนึ่งของโลกให้เรียนรู้
ปล.เพลง ผ่อนคลาย ดีจังคะ
แวะมาเยี่ยมครับ
"มหัศจรรย์ของการอ่าน" มหัศจรรย์จริงครับ เพราะการอ่าน จึงได้แวะมาอ่าน บันทึกของคุณครู ดอกไผ่
คุณครูดอกไผ่ เขียนสนุกครับ