โลกสีดำ
จักรเมถุน
ผมนั่งเงียบๆ อยู่บนม้านั่งด้วยความเดียวดาย รอบกายผมมันมองไม่เห็นใคร มันเกิดอะไรขึ้นกับสถานที่แห่งนี้กัน
แน่นะ
กระแสลมพัดผ่านกระทบใบหน้าของผมไป ผมมองไปตามท้องถนนที่ว่างเปล่าเผื่อว่าจะเจอใครบ้าง แต่ทว่ากลับไม่มีใคร อยู่ตามทางเดินที่เปล่าเปลี่ยวแห่งนั้นเลย
เมื่อผมกลับมามีเรี่ยวแรงที่จะเดินต่ออีกครั้ง สองเท้าที่ไม่ละความพยายามของผม ก็ย่างก้าวเดินต่อไป เพื่อออกตามหาสิ่งมีชีวิตอื่นใด นอกจากตัวผม...
“มีใครอยู่ที่นี่บ้างไหม!” ผมตะโกนร้องถามออกไป ด้วยจิตใจร้อนรน
พวกเขาหายไปไหนกันหมดนะ?
มันเกิดอะไรขึ้นกับที่นี่กันแน่?
มันคือคำถามที่เวียนวนภายในโสตประสาทของผม...
พอเดินถึงสถานที่ที่ผมคุ้นเคย ภาพแห่งความทรงจำต่างๆ มากมายก็ได้ผุดขึ้นมาในความคิดของผมอีกครั้ง
“ลูกอย่าเพิ่งเล่นสิ รีบๆ มาทานข้าวก่อนเร็ว เวลาเล่นยังอีกเยอะแยะนะ” ผู้เป็นแม่เอ่ยบอกกับเด็กชายที่กำลังเล่นต่อสู้กับเพื่อนๆ ด้วยความสนุกสนาน
“ไม่เอา...ผมอยากจะเล่นต่อ...”
“เดี๋ยวก็จะได้เล่นต่อแล้ว...มาทานข้าวก่อนนะลูก...” สิ้นเสียงนั้น ภาพตรงหน้าของผมก็เริ่มเรือนราง เหลือเพียงสถานที่ที่ว่างเปล่าอีกครั้ง มันเป็นภาพความทรงจำของผม เมื่อตอนที่ผมยังเป็นเด็ก
.................
“แม่ครับ เงินผมซื้อมานะ แม่อย่ามาแย่งผมกินสิ!” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง
หญิงสาวผู้เป็นแม่เริ่มน้ำตาไหลริน...
น้ำตาของผู้เป็นแม่ไหลออกมาอย่างไม่จักจบสิ้น...หล่อนเองคงคิดไม่ถึงเลยว่า...ลูกชายสุดที่รัก...จะเอ่ยถ่อยคำเหล่านั้นออกมาได้
ภาพวันนั้น...ผมจดจำมันได้ดี เป็นผมเองที่บอกกับแม่แบบนั้น ผมทำให้แม่ต้องร้องไห้ ผมทำให้แม่ต้องเสียน้ำตา...ผมมันเป็นลูกที่ไม่ดีจริงๆ เลย ผมอยากจะย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตถ้าผมทำได้...แต่มันคงสายไปเสียแล้ว...
เวลาไม่เคยหมุนย้อนกลับมาให้ได้แก้ไขอดีต...
แล้วภาพแห่งความทรงจำก็ได้หายไปอีกครั้ง เหลือเพียงสถานที่แห่งความว่างเปล่าดังเดิม
“แม่ครับ! พ่อครับ! อย่าทิ้งผมไป!” เมื่อมารู้ตัวอีกที ว่าไม่เหลือใคร ความหดหู่ใจก็ก่อเกิดขึ้นมาอีกครั้ง
ตอนนี้ผมกำลังเดินอยู่อย่างเดียวดาย ภายในโลกที่มีแต่ความมืดมิด...
“เสียงอะไร?” ผมอุทานด้วยความตกใจ
“ถึงเวลาของเจ้าแล้วล่ะพ่อหนุ่มเอ๋ย...”
นั่นเสียงใครกัน มีคนอยู่แถวนี้ด้วยเหรอ ผมยิ้มออกด้วยความดีใจ ผมไม่ต้องเดียวดายอีกต่อไปแล้ว...
แต่ทว่าเสียงหนึ่งกลับทำให้ใบหน้าของผมเศร้าหมองลงทันใด...เสียงผู้คนสะอื้น...ร่ำไห้...ดังก้องกังวานไปทั่ว
“มันสายเกินไป...ที่เจ้าจะกลับไปแก้ไขเรื่องราวในอดีตได้แล้วล่ะพ่อหนุ่มเอ๋ย...” เกิดแสงสีขาวสว่างวาบขึ้นเหนือศีรษะของผม ด้วยพลังแห่งแสงนั้นแรงกล้านัก ผมจึงต้องนำมือมือขึ้นกำบังแสงนั้นเอาไว้
“ทำไมครับ คุณพูดอะไรกัน ทำไมผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย...” ผมเอ่ยถามออกไปด้วยความสงสัย
“...” เสียงนั้นเงียบไป
ผมก้าวเดินต่อไปอีกครั้ง เพื่อตามหาเจ้าของต้นเสียงนั้น แต่ทว่ากลับไม่พบใครอื่นเลย...
“ตอนเป็นมนุษย์เคยเกรงกลัวต่อบาป แต่ก็ยังกล้าที่จะทำ ชอบนักการฝ่าฝืนกฎเกณฑ์แห่งกรรม ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันมีความผิด!” เสียงนั้นดังก้องกังวานไปทั่ว
“คุณไปใคร...” ผมเอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ...ชายคนนั้นกำลังหมายถึงอะไรกัน
ตอนนี้รอบกายของผมบรรยากาศมันช่างวังเวงเหลือเกิน ผมรู้สึกหนาวอย่างบอกไม่ถูก...เศร้า...ทำไมผมถึงรู้สึกเศร้าเช่นนี้นะ
“ผมขอโอกาสกลับไปแก้ตัวอีกสักครั้งไม่ได้เหรอครับ...” ผมเอ่ยบอกกับเสียงนั้น เผื่อว่าพอจะยังมีความหวังหลงเหลืออยู่บ้าง
“ขอโอกาสอย่างนั้นรึ”
“ใช่ครับ ผมอยากกลับไปหาพวกเขาอีกครั้ง ผมไม่อยากอยู่อย่างเดียวดายแบบนี้อีกต่อไป ผมรู้สึกเหงา อ้างว้าง นะครับ... ช่วยพาผมกลับไปหน่อยนะครับ”
“เจ้าเองก็ได้ยิน เมื่อถึงช่วงเวลาที่ไม่มีเจ้า ผู้คนเองต่างก็ร่ำไห้...เจ้าอย่าคิดว่าตัวเจ้าไม่สำคัญ คนอื่นไม่สนใจ แต่พ่อแม่ของเจ้ายังให้ความรัก ความอบอุ่น ให้แก่เจ้าได้เสมอ ...คนเป็นพ่อเป็นแม่ เมื่อลูกทำผิดมีหรือจะไม่ให้อภัย...เอาล่ะ ในเมื่อเป็นความต้องการของเจ้า เห็นแก่ที่ว่าเจ้ายังคงมีความดีหลงเหลืออยู่บ้าง...ข้าจะให้โอกาสเจ้ากลับไปแก้ตัวใหม่อีกครั้ง...”
“ขอบคุณนะครับท่าน”
สิ้นเสียงนั้น ได้เกิดแสงสว่างแวบวาบขึ้นโดยทั่วบริเวณ...
“ฟื้นสิลูก...อย่าเป็นอะไรนะ!” เสียงร่ำไห้ฟูมฟายของหญิงวัยกลางคนที่ผมคุ้นเคย...แม่กำลังร้องไห้...น้ำตาของแม่เปียกชโฉมเต็มแขนผมไปหมด...
ผมค่อยๆ ลืมตมตื่นขึ้นช้าๆ ภาพของผู้คนมากมายเต็มไปหมด...แต่มันช่างเลือนราง...
“ฟื้นแล้ว! ลูกชายของฉันฟื้นแล้ว!”
ความผิดพลาดในอดีต...ไม่มีใครสามารถย้อนกลับไปแก้ไขมันได้...จงทำความดี คิดแต่สิ่งดี...ทั้งในปัจจุบันและอนาคตอันใกล้ที่จะเข้ามาถึง เพื่อจะได้ไม่ต้องพูดว่า...
“มันสายไปแล้ว...เกินกว่าจะแก้ไข...”
---จบ---
ไม่มีความเห็น