ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับภาษีอากร
ภาษีอากร กลุ่มนักวิชาการด้านภาษีอากรได้แบ่งความหมายไว้เป็น 2 แนวทางดังนี้
แนวทางที่หนึ่ง ภาษีอากร คือ สิ่งที่รัฐบาลบังคับเก็บจากราษฎร และนำไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนรวม โดยมิได้มีสิ่งตอบแทนโดยตรงแก่ผู้เสียอากร
แนวทางที่สอง ภาษีอากร คือ เงินได้หรือทรัพยากรที่เคลื่อนย้ายจากภาค เอกชนไปสู่ภาครัฐบาล แต่ไม่รวมถึงการกู้ยืมหรือขายสินค้าหรือให้บริการในราคาทุนโดยรัฐบาล
การบัญชี คือ การจัดการข้อมูลทางการเงิน ซึ่งได้แก่ การเก็บรวบรวมบันทึก จำแนก และสรุปผล เพื่อจัดทำรายงานทางการเงิน
ความหมายของการบัญชีการเงินและการบัญชี ภาษีอากร
การบัญชีการเงิน คือ การจัดทำบัญชีตามมาตรฐานการบัญชีเพื่อจัดทำงบการเงินเสนอต่อเจ้าของกิจการหรือบุคคลภายนอก
การบัญชีภาษีอากร (Tax Accounting) เป็นการนำหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไปหรือมาตรฐานการบัญชีมาปรับให้สอดคล้องกับประมวลรัษฎากรและกฎหมายภาษีอากรต่างๆ
1. กำหนดผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชี ได้แก่
- ห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน
- บริษัทจำกัด
- บริษัทมหาชนจำกัด
- นิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศที่ประกอบธุรกิจในประเทศไทย
- กิจกรรมร่วมค้าตามประมวลรัษฎากร
สำหรับบุคคลธรรมดาและห้างหุ้นส่วนที่ไม่ได้จดทะเบียน ไม่ต้องจัดทำบัญชี เว้นแต่รัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีจะออกประกาศให้เป็นผู้ที่มีหน้าที่จัดทำบัญชี
2. กำหนดความรับผิดชอบในการจัดทำบัญชี
2.1 ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชี
1) ต้องจัดให้มีการทำบัญชีให้ถูกต้องตามรายละเอียด หลักเกณฑ์ และวิธีการตามที่กฎหมายกำหนดนับแต่วันเริ่มทำบัญชี
2) ต้องส่งมอบเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีให้แก่ผู้ทำบัญชีให้ถูกต้องครบถ้วน
3) ต้องปิดบัญชีและจัดทำงบการเงินโดยมีรายการย่อตามที่อธิบดีประกาศกำหนดโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรี พร้อมทั้งยื่นงบการเงินต่อสำนักงานกลางบัญชีหรือสำนักงานบัญชีประจำท้องที่
4) ต้องจัดให้งบการเงินได้รับการตรวจสอบและแสดงความเห็นโดย ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต
5) ต้องเก็บรักษาบัญชีและเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีไว้ ณ สถานที่ทำการหรือสถานที่ที่ใช้เป็นที่ทำการผลิตหรือเก็บสินค้าเป็นประจำ
6) ต้องจัดให้มีผู้ทำบัญชีซึ่งเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติตามที่อธิบดีกำหนด
7) มีหน้าที่ควบคุมดูแลผู้ทำบัญชีให้จัดทำบัญชีให้ตรงต่อความเป็นจริง และถูกต้องตามกฎหมาย
2.2 ผู้ทำบัญชี
1) ต้องจัดทำบัญชีเพื่อให้มีการแสดงผลการดำเนินงาน ฐานะการเงิน หรือการเปลี่ยนแปลงฐานะการเงินของผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชี ที่เป็นอยู่ตามความเป็นจริงและตามมาตรฐานการบัญชี โดยมีเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีให้ถูกต้องครบถ้วน
2) ต้องลงรายการเป็นภาษาไทย หากลงรายการเป็นภาษาต่างประเทศ ให้มีภาษาไทยกำกับ หากลงรายการเป็นรหัสบัญชี ให้มีคู่มือ คำแปลรหัสเป็นภาษาไทยไว้
3. กำหนดอำนาจในการตรวจสอบบัญชีและเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชี
4. บทกำหนดโทษ
4.1 ความผิดที่มีระวางโทษปรับ
4.2 ความผิดที่มีระวางโทษปรับและจำคุก
กฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำบัญชี
1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
2. พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด
3. พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
4. ประมวลรัษฎากร
1.1 การจัดทำบัญชีตามมาตรา 17 วรรคสอง
- ให้อธิบดีโดยอนุมัติรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งบุคคลทั่วไปให้มีบัญชีพิเศษ และให้กรอกข้อความที่ต้องการลงในบัญชีนั้น คำสั่งเช่นว่านี้ให้ประกาศในราชกิจจา- นุเบกษา
- ให้อธิบดีมีอำนาจกำหนดให้ผู้ยื่นรายการหรือผู้เสียภาษีอากรทำบัญชีงบดุลหรือบัญชีอื่นๆ แสดงรายการหรือแจ้งข้อความใดๆ และยื่นต่อเจ้าพนักงานประเมิน พร้อมกับการยื่นรายการตามแบบแสดงรายการที่อธิบดีกำหนด
อธิบดีกรมสรรพากรได้ออกประกาศหลายฉบับ โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 17 วรรคสอง ให้ผู้เสียภาษีจัดทำบัญชีและบัญชีพิเศษดังนี้
1) ผู้ประกอบธุรกิจที่เป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ให้จัดทำบัญชีแสดงรายได้หรือรายรับเป็นประจำวัน
2) ผู้มีหน้าที่เสียภาษีที่มีธุรกรรมตามประกาศอธิบดีฯ ให้จัดทำบัญชีพิเศษตามแบบที่กำหนด
1.2 การจัดทำรายงานภาษีมูลค่าเพิ่มและรายงานภาษีธุรกิจเฉพาะ
1) ให้ผู้ประกอบกิจการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มจัดทำรายงานเกี่ยวกับการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มดังต่อไปนี้ โดยให้จัดทำเป็นรายสถานประกอบการ (มาตรา 87)
(1) รายงานภาษีขาย
(2) รายงานภาษีซื้อ
(3) รายงานสินค้าและวัตถุดิบ (กรณีที่ผลิตและ/หรือขายสินค้า)
2) ให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีธุรกิจเฉพาะจัดทำรายงานแสดงรายรับก่อนหักรายจ่ายที่ต้องเสียภาษีและรายรับที่ไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีตามที่อธิบดีกำหนด และให้จัดทำโดยแยกตามรายสถานประกอบการ (มาตรา 91/14)
2. การจัดทำงบการเงิน
3. การตรวจสอบและรับรองบัญชี
1. คำนิยามขององค์ประกอบของงบการเงิน
1.1 สินทรัพย์ หมายถึง ทรัพยากรที่อยู่ในความควบคุมของกิจการ ทรัพยากรดังกล่าวเป็นผลของเหตุการณ์ในอดีตซึ่งกิจการคาดว่าจะได้รับประโยชน์เชิงเศรษฐกิจจากทรัพยากรนั้นในอนาคต
1.2 หนี้สิน หมายถึง ภาระผูกพันในปัจจุบันของกิจการ ภาระผูกพันดังกล่าวเป็นผลของเหตุการณ์ในอดีต ซึ่งการชำระภาระผูกพันนั้นคาดว่าจะส่งผลให้กิจการสูญเสียทรัพยากรที่มีประโยชน์เชิงเศรษฐกิจ
1.3 ส่วนของเจ้าของ หมายถึง ส่วนได้เสียคงเหลือในสินทรัพย์ของกิจการหลังจากหักหนี้สินทั้งสิ้นออกแล้ว
1.4 รายได้ หมายถึง การเพิ่มขึ้นของประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในรอบระยะเวลาบัญชีในรูปกระแสเข้าหรือการเพิ่มค่าของสินทรัพย์ หรือการลดลงของหนี้สิน อันส่งผลให้ส่วนของเจ้าของเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ไม่รวมถึงเงินทุนที่ได้รับจากเจ้าของ
1.5 ค่าใช้จ่าย หมายถึง การลดของประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในรอบระยะเวลาบัญชีในรูปของกระแสออก หรือการลดลงของสินทรัพย์ หรือการเพิ่มขึ้นของหนี้สิน อันส่งผลให้ส่วนของเจ้าของลดลง ทั้งนี้ไม่รวมถึงการแบ่งปันส่วนทุนให้กับผู้มีส่วนร่วมในส่วนของเจ้าของ
2. การรับรู้รายการ
2.1 การรับรู้รายได้ ให้รับรู้ในงบกำไรขาดทุน เมื่อเข้าเงื่อนไขทั้ง 2 ประการ ดังนี้
1) เมื่อประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในอนาคตเพิ่มขึ้น เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์ หรือส่วนที่ลดลงของหนี้สิน
2) เมื่อกิจการสามารถวัดค่าของประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในอนาคตได้อย่างน่าเชื่อถือ
2.2 การรับรู้ค่าใช้จ่าย ให้รับรู้ในงบกำไรขาดทุน เมื่อเข้าเงื่อนไขทั้ง 2 ประการคือ
1) เมื่อประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในอนาคตลดลง เนื่องจากการลดลงของสินทรัพย์ หรือการเพิ่มขึ้นของหนี้สิน
2) เมื่อกิจการสามารถวัดค่าของประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในอนาคตได้อย่างน่าเชื่อถือ
3. ข้อสมมติในการจัดทำงบการเงิน
3.1 เกณฑ์คงค้าง
3.2 หลักการดำเนินงานต่อเนื่อง
เงินได้สุทธิ = เงินได้พึงประเมิน – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน |
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา = เงินได้สุทธิ x อัตราภาษี (ก้าวหน้า)
|
การคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
1. เกณฑ์ที่ใช้ในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
2. การผ่อนปรนการใช้เกณฑ์สิทธิ
3. เงื่อนไขเกี่ยวกับรายได้และค่าใช้จ่าย
1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
1.1 ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษี
1.2 ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปี
2. ภาษีเงินได้นิติบุคคล
2.1 ภาษีเงินได้นิติบุคคลประจำปี
2.2 ภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งรอบระยะเวลาบัญชี
3. ภาษีมูลค่าเพิ่ม
3.1 ผู้ประกอบการที่ขายสินค้าและ/หรือให้บริการในราชอาณาจักร
3.2 ผู้ประกอบการที่จ่ายค่าบริการที่ทำในต่างประเทศและได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร
4. ภาษีธุรกิจเฉพาะ
1. ความรับผิดทางอาญา
2. ความรับผิดทางแพ่ง
1. ให้ผู้ที่ชำระภาษีไว้เกินขอคืนภาษีได้ภายใน 3 ปี นับแต่วันสุดท้ายของกำหนดเวลายื่นรายการภาษีหรือนับแต่วันที่ยื่นรายการ (กรณียื่นเกินกว่ากำหนดเวลา) หรือนับแต่วันได้รับแจ้งค่าวินิจฉัยอุทธรณ์ หรือวันที่มีคำพิพากษาถึงที่สุด แล้วแต่กรณี โดยยื่นคำร้อง (แบบ ค. 10) ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่เขต การขอคืนภาษีในต่างจังหวัดให้ยื่นต่อผู้ว่าราชการจังหวัด ณ ที่ว่าการอำเภอหรือกิ่งอำเภอ โดยให้แนบเอกสารที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วน ซึ่งจะได้รับคืนเป็นเช็คสั่งจ่ายผู้ขอคืนภาษี
ผู้มีอำนาจสั่งคืนภาษีจะพิจารณาคืนให้ภายใน 60 วัน นับแต่วันได้คำร้อง โดยแจ้งเป็นหนังสือ (แบบ ค. 20) ไปยังผู้ขอคืนเพื่อแจ้งการโอนเงินค่าภาษีที่ขอคืน หรือแจ้งให้ไปรับคืนค่าภาษีได้ และกรอกข้อความและลงนามในช่องขอคืนเงินภาษีพร้อมทั้งแนบเอกสารที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วน
2. ผู้ที่ชำระภาษีหรือถูกหักภาษีไว้เกินกว่าจำนวนภาษีที่ต้องเสีย จะขอคืนภาษีโดยไม่ยื่นคำร้อง (แบบ ค. 10) ก็ได้ ซึ่งต้องรอให้ถึงระยะเวลาการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ประจำปี และกรอกข้อความลงนามในช่องขอคืนเงินภาษีพร้อมทั้งแนบเอกสารที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วน
สรุปอำนาจของเจ้าพนักงานประเมินภาษีในการประเมินภาษีอากร
1. ในกรณีที่จำเป็นเพื่อรักษาประโยชน์ในการจัดเก็บภาษีอากร เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจที่จะประเมินเรียกเก็บภาษีก่อนถึงกำหนดเวลายื่นรายการได้ตามมาตรา 18 ทวิ
2. ประเมินภาษีตามรายการที่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีได้ยื่นแบบแสดงรายการไว้ ถ้าประเมินแล้วมีภาษีอากรที่ต้องเรียกเก็บเพิ่ม เจ้าพนักงานประเมินต้องแจ้งจำนวนภาษีอากรไปยังผู้เสียภาษีตามมาตรา 18 และมาตรา 88/5
3. ประเมินภาษีตามรายการที่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีได้ยื่นรายการไม่ครบถ้วน หรือไม่ยื่นรายการมาไต่สวนหรือออกหมายเรียกพยานคำสั่งให้นำบัญชีหรือพยานหลักฐานอื่นอันควรแก่เรื่องมาแสดงได้ ทั้งนี้การออกหมายเรียกดังกล่าวต้องกระทำภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 18 มาตรา 23 มาตรา 27 จัตวา มาตรา 88 และมาตรา 88/6
4. เข้าไปในสถานประกอบการหรือสถานที่อื่นที่เกี่ยวข้องระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกหรือระหว่างเวลาทำการของผู้ประกอบการ และทำการตรวจสอบเพื่อให้ทราบว่าได้มีการปฏิบัติตามประมวลรัษฎากรหรือไม่โดยให้เจ้าพนักงานแสดงบัตรประจำตัวของผู้ที่เกี่ยวข้องเมื่อเข้าไปทำการตรวจสอบตามมาตรา 88/3
5. อำนาจการประเมินเงินได้ เจ้าพนักงานประเมินภาษีมีอำนาจในการประเมินภาษีตามประมวลรัษฎากร
6. อำนาจในการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีธุรกิจเฉพาะตามมาตรา 88 และมาตรา 91/21(5)
ภาษีหัก ณ ที่จ่าย นั้น กฎหมายกำหนดให้ผู้จ่ายเงิน (ในกรณีที่กำหนดไว้) ทำหน้าที่หักเงินจากยอดที่ตนต้องจ่ายให้แก่ผู้รับเงิน แล้วนำเงินนั้นส่งแก่รัฐบาล เงินที่ได้หักและนำส่งดังกล่าวถือเป็นเครดิตในการเสียภาษีเงินได้ของผู้รับเงินเมื่อถึงกำหนดเวลายื่นรายการเสียภาษี ถ้ากรณีใดไม่มีกฎหมายกำหนดให้หักภาษี ผู้จ่ายเงินได้ก็ไม่ต้องหักภาษีไว้ ประเภทของเงินได้ที่ต้องหัก ภาษี ณ ที่จ่ายไว้นั้น มีรายละเอียดค่อนข้างมาก แต่หากอธิบายโดยมองในแง่ของผู้จ่ายเงิน ซึ่งมีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายแล้ว แบบแสดงรายการเพื่อนำส่งภาษี หัก ณ ที่จ่าย ดังกล่าว หลักๆแล้วมีอยู่เพียง ๓ แบบ ได้แก่ แบบ ภ.ง.ด.๑, ๓ และ ๕๓ แบบ ภ.ง.ด. ๑ ใช้สำหรับหัก ภาษี ณ ที่จ่าย ประเภท เงินเดือน จากพนักงานของกิจการ การจัดทำตัวเลขในการจ่ายเงินเดือนแก่พนักงานในทุกๆเดือนนั้น ก็ต้องคำนวณยอดเงินไว้ โดยปกติ เงินเดือนพนักงานจะถูกหักด้วย “ภาษี” และ “เงินประกันสังคม” บางบริษัทอาจมียอด “เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ” หากบริษัทมีสวัสดิการด้านนี้ให้แก่พนักงานเป็นการเพิ่มเติม (ซึ่งจะไม่กล่าวถึงในที่นี้) จำนวนเงิน “ภาษี” ที่ว่านี้ จะถูกรวบรวมจากพนักงานแต่ละคน มากบ้าง น้อยบ้าง และนำส่งกรมสรรพากร ภายในวันที่ ๗ ของเดือนถัดไป โดยใช้แบบ ภ.ง.ด. ๑ ซึ่งประกอบด้วย ใบนำส่งที่สรุปยอดเงินภาษีทั้งสิ้นที่ต้องนำส่ง พร้อมแนบด้วยรายละเอียดของเงินเดือน และภาษีที่หักไว้ สำหรับพนักงานแต่ละคน แบบ ภ.ง.ด.๑ พร้อมใบแนบนี้ จึงเป็นเอกสารที่ต้องจัดเตรียม และเก็บรักษาโดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคล หรือ ฝ่ายบัญชี โดยต้องถือปฏิบัติเป็น “ความลับ” เพราะมีข้อมูลอันเกี่ยวกับ “บุคคล” อยู่ด้วย ที่เรียกว่าข้อมูลที่มีลักษณะ “Private & Confidential”
(๑) ภาษีหัก ณ ที่จ่าย 10,000 บาท ที่ว่านี้ คำนวณจากพนักงานแต่ละคนรวมกันทั้งบริษัท (๒) ส่วนเงินประกันสังคม คำนวณจากฐานของเงินเดือน (ไม่รวมค่าล่วงเวลา) ในอัตราร้อยละ ๕ จากเงินเดือนที่จ่ายจริง หรือไม่เกินฐานของ 15,000 บาท เช่น หากเงินเดือน 25,000 บาท ก็จะคำนวณร้อยละ ๕ จากยอด 15,000 บาท ในตัวอย่างนี้ เงินประกันสังคมที่หักจากพนักงานทุกคน รวมต้องนำส่ง 15,000 บาท หากแต่ตามกฎหมายประกันสังคม กำหนดให้บริษัทต้องสมทบในจำนวนเท่ากัน คืออีก 15,000 บาท รวมต้องนำส่ง 30,000 บาท (๓) ขั้นตอนการบันทึกบัญชีต้องบันทึก “เงินประกันสังคม” (ส่วนที่บริษัทสมทบ) เป็นค่าใช้จ่ายไว้ 15,000 บาท
แบบ ภ.ง.ด. ๓ และ ๕๓ นั้น ใช้สำหรับนำส่งภาษี หัก ณ ที่จ่าย สำหรับเงินได้ประเภทต่างๆ ในลักษณะเดียวกัน ต่างกันที่ ผู้ถูกหัก ภาษี ณ ที่จ่าย หากเป็นบุคคลธรรมดา บริษัทจะหักภาษีโดยนำส่งด้วยแบบ ภ.ง.ด. ๓ ในขณะที่ หากผู้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย เป็นนิติบุคคล (เช่น บริษัท ห้างหุ้นส่วนจำกัด กิจการร่วมค้า เป็นต้น) บริษัทจะหักภาษีโดยนำส่งด้วยแบบ ภ.ง.ด. ๕๓ ในแบบแสดงรายการก็มีลักษณะเดียวกับแบบ ภ.ง.ด. ๑ กล่าวคือ จะมีใบสรุปยอด และใบแนบซึ่งกรอกรายการของผู้ที่ถูกหัก ภาษี ณ ที่จ่ายไว้เป็นรายบุคคล หรือ รายนิติบุคคล โดยแบบ ภ.ง.ด. ๓ และ ๕๓ มีกำหนดนำส่งภายในวันที่ ๗ ของเดือนถัดไป เช่นเดียวกัน การบันทึกรายการบัญชี
เมื่อชำระภาษี หัก ณ ที่จ่าย (ภายในวันที่ ๗ ของเดือนถัดไป)
ในทางปฏิบัติ จะซับซ้อนขึ้นอีกเล็กน้อย เนื่องจาก “ค่าบริการ” โดยทั่วไปกำหนดให้ต้องคำนวณ “ภาษีมูลค่าเพิ่ม” บวกเข้าไปในค่าบริการด้วย ทำให้มักเกิดปัญหา “คำนวณเงินภาษีหัก ณ ที่จ่ายไว้ไม่ถูกต้อง” ให้เห็นอยู่เสมอ ตามตัวอย่างเดิม หากบริษัทจ่าย “ค่าบริการ” ที่รวม “ภาษีมูลค่าเพิ่ม” ร้อยละ ๗ จะคำนวณ และบันทึกบัญชีดังต่อไปนี้ เมื่อจ่ายเงินค่าบริการ (ประเภทที่ต้องหัก ภาษี ณ ที่จ่ายไว้)
จะเห็นว่า แม้จะมี “ภาษีมูลค่าเพิ่ม” เข้ามาเกี่ยวข้อง ก็ไม่ได้ทำให้ “หลัก” และ “วิธีคิด” เปลี่ยนไป เพียงแต่เพิ่มเติมการคำนวณส่วนของ “ภาษีมูลค่าเพิ่ม” เข้าไปเท่านั้น หากลองไล่ประเภทของ “เงินได้” ที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย คร่าวๆ กล่าวโดยสรุปได้ว่า การซื้อสินค้านั้น ไม่เข้าข่าย ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย ส่วน “ค่าบริการ” ต่างๆ ที่มักเรียกกันในทางภาษีอากร ว่า “ค่าจ้างทำของ” รวมทั้งค่าวิชาชีพต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าวิชาชีพทางการบัญชี การสอบบัญชี ค่าวิชาชีพทางกฎหมาย ค่าออกแบบ เป็นต้น กลุ่มนี้จะต้องหัก ภาษี ณ ที่จ่าย ร้อยละ ๓ ค่าเช่า ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย ร้อยละ ๕
(๖) ปัจจุบัน ยกเว้นภาษีในอัตราร้อยละ ๕ ดังนั้น หากเงินได้สุทธิไม่เกิน 100,000 บาท ก็ไม่ต้องเสียภาษี |
เยอะเนาะมีแต่สาระ
ว่างั้นแหละๆๆๆ ยูจินน
ขอบใจมาก ๆ ข้อมูลจะเป็นผลดีต่อการเตรียมสอบ Pre v-net นะจ๊ะ ^^