มูลเหตุของบันทึกนี้ เนื่องจากภาคการศึกษาหนึ่งมีนิสิตเขียนสมุดแห่งการเรียนรู้หรือ Journal ในวิชาการเลี้ยงผึ้ง เป็นนิทานเรื่องผู้มีปัญญาย่อมหาทรัพย์ได้ด้วยหนูตายเพียง ๑ ตัว เห็นว่านิทานเรื่องนี้น่าสนใจเพราะเกี่ยวกับเรื่องของ "การใช้ปัญญาหาทรัพย์"
ต่อมาจะต้องไปสอนวิชา "การจัดการดำเนินชีวิต" ซึ่งเป็นวิชาหนึ่งในหมวดการศึกษาทั่วไป ในหัวข้อ "การแก้ไขปัญหาเชิงพุทธปัญญา" เลยคิดว่าจะนำนิทานเรื่องนี้ไปประกอบการสอน
นิทานเรื่องนี้ มาจากนิทานชาดก "จุลลกเศรษฐีชาดก" ในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ เนื้อเรื่องนำมาจากอินเตอร์เน็ต ส่วนภาพนำมาจาก เว็ปไซด์ "กัลยาณมิตร" ต้องขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ครับ
เริ่มเรื่องเลยนะครับ กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเศรษฐีท่านหนึ่งนามว่า "จุลลกเศรษฐี" เป็นเศรษฐีใหญ่ในเมืองพาราณสี เป็นผู้มีความฉลาดเฉียบแหลม เป็นบัณฑิตผู้รู้ปรากฏการณ์ต่าง ๆ
วันหนึ่งท่านจุลลกเศรษฐีเดินทางไปเฝ้าพระราชา (พระเจ้าพรหมทัต) ระหว่างทางพบซากหนูตายตัวหนึ่ง เห็นเป็นนิมิตที่ดี จึงเอ่ยปากพูดขึ้นว่า "หากผู้ใดมีดวงตา คือปัญญาแล้วไซร้ ก็สามารถที่จะนำเอาซากหนูตัวนี้ไปทำทุนเลี้ยงดูภรรยา และ ประกอบการงานได้ใหญ่โตทีเดียว"
|
ชายผู้ยากไร้คนหนึ่งชื่อ "จูฬันเตวาสิก" ได้ยินท่านเศรษฐีพูดเช่นนั้น ก็คิดว่า ท่านเศรษฐีเป็นบัณฑิตผู้ฉลาด หากไม่รู้จริงก็คงไม่พูด เมื่อพูดก็ย่อมเป็นเช่นนั้นจริงๆ เขาจึงได้นำเอาหนูตายตัวนั้นไปขายให้กับคนเลี้ยงแมว ได้ทรัพย์มากากณิก[กา-กะ-หฺนึก] หนึ่ง (กากณิก คำนาม = ทรัพย์มีค่าเท่ากับค่าแห่งชิ้นเนื้อที่กาพอนำไปได้; เป็นชื่อมาตราเงินอย่างต่ำที่สุดของอินเดียในสมัยนั้น ถ้าเทียบกับมาตราเงินไทยคือ ๑ สตางค์)
|
จากนั้นก็นำทรัพย์หนึ่งกากณิกนั้น ไปซื้อน้ำ "อ้อยงบ" (น้ำอ้อยที่เคี่ยวแล้วทำเป็นแผ่นสะดวกกับการพกพา) แล้วเอาหม้อใบหนึ่งตักน้ำ ไปยืนคอยพวกช่างดอกไม้กลับจากการหาดอกไม้ ที่ประตูเมือง เขาได้ให้ชิ้นน้ำอ้อยและให้ดื่มน้ำคนละกระบวย พวกช่างดอกไม้ก็ให้ดอกไม้คนละหนึ่งกำมือเป็นสินน้ำใจตอบแทนแก่เขา
|
จูฬันเตวาสิกเอาดอกไม้ทั้งหมดนั้น ไปขายได้ทรัพย์มาอีกจำนวนหนึ่ง แม้ในวันรุ่งขึ้น... เขาก็นำค่าดอกไม้นั้นซื้อน้ำอ้อยอีก แต่คราวนี้ตรงไปยังสวนดอกไม้เลยทีเดียว ให้พวกคนปลูกดอกไม้ ได้ดื่มน้ำอ้อย พวกคนปลูกดอกไม้จึงตอบแทนน้ำใจเขา ด้วยการให้ดอกไม้ ที่เก็บแล้ว คนละครึ่ง
|
|
วันต่อมา เขาก็นำเงินไปซื้อน้ำอ้อยงบและไปยืนคอยพวกช่างดอกไม้อยู่เช่นเดิม เมื่อได้ดอกไม้มาก็นำไปขาย ทำอยู่เช่นนี้ จนเขามีเงินถึง ๘ กหาปณะหรือ ๓๒ บาท (๑ กหาปณะ เท่ากับ ๒๐ มาสก เทียบเป็นเงินไทยคือ ๔ บาท)
|
วันหนึ่ง ฝนตกพายุหนัก กิ่งไม้แห้งบ้างสดบ้างในพระราชอุทยาน ถูกพายุพัดลงมาเป็นอันมาก นายอุทยานไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรดี จูฬันเตวาสิกผ่านไปทราบความ จึงรีบไปแจ้วว่า ถ้าจะให้ใบไม้กิ่งไม้เหล่านั้นแก่ตนแล้ว เขาจะขนออกไปให้หมด คนเฝ้าพระราชอุทยานดีใจรีบบอกให้เขามาขนไปในทันที
|
ด้วยความดีใจ จูฬันเตวาสิกรีบกลับไปที่สนามเด็กเล่น ให้น้ำอ้อยแก่เด็ก ๆ แล้วขอแรงให้ช่วยขนกิ่งไม้จนหมด และแล้วภายในเวลาไม่นานนักกิ่งไม้จำนวนมากได้มากองอยู่ที่หน้าประตูพระราชอุทยาน
|
|
|
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงนำไปเสนอขายให้กับช่างปั้นหม้อของพระราชา ซึ่งเป็นเวลาประจวบกับช่างหม้อหลวงต้องการอยู่ฟืนพอดี ช่างหม้อหลวงจึงซื้อกิ่งไม้เหล่านั้นทั้งหมด และยังมอบโอ่ง หม้อ ไห เนื้อดีให้แก่เขาอีกด้วย
จากการขายไม้ ตอนนี้ชายยากจนอย่างจูฬันเตวาสิกมีทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็น ๑๖ กหาปณะแล้ว
|
เมื่อมีทรัพย์มากขึ้น เขาจึงคิดอะไรได้อย่างหนึ่ง ด้วยการตั้งโอ่งน้ำไว้ไม่ไกลจากประตูเมือง เพื่อให้บริการแก่คนเกี่ยวหญ้าเลี้ยงสัตว์ ซึ่งมีจำนวน ๕๐๐ คน
เหล่าคนหาบหญ้าพอใจในบริการที่มีน้ำใจของเขา จึงเอ่ยปากว่า หากต้องการให้พวกตนช่วยอะไร ขอให้บอกได้เลย
|
|
นอกจากคนหาบหญ้าแล้ว จูฬันเตวาสิกยังได้ผูกมิตรกับคนมากหน้าหลายตา ทำให้เขามีคนรู้จักมากมายมากมาย
วันหนึ่ง เพื่อนก็มาบอกข่าวแก่เขาว่า พรุ่งนี้จะมีพ่อค้าม้านำม้า ๕๐๐ ตัวมายังพระนครแห่งนี้ จูฬันเตวาสิกจึงไปพบคนหาบหญ้า และขอหญ้าจากพวกเขาคนละ ๑ ฟ่อน ซึ่งพวกคนหาบหญ้า ได้ขนมาให้เขาที่หน้าบ้านรวม ๕๐๐ ฟ่อน
เขายังขอร้องพวกคนหาบหญ้าว่า หากว่าเขายังไม่ได้ขายหญ้า ขออย่าให้ผู้ใดขายหญ้าก่อนเขา
|
วันรุ่งขึ้น พ่อค้าม้านำม้า ๕๐๐ ตัวมาถึง และพบว่ามีเพียงจูฬันเตวาสิกเท่านั้นที่มีหญ้าขาย จึงต้องให้ราคาสูงเพื่อให้ได้หญ้าไปเลี้ยงม้า ทำให้เขาได้ทรัพย์จากการขายหญ้าในครั้งนี้เป็นจำนวน ๑,๐๐๐ กหาปณะ และยังพลอยทำให้คนเกี่ยวหญ้า ขายหญ้าได้ราคาดีตามไปด้วย
|
ต่อมา ก็มีเพื่อนมาแจ้งข่าวแก่เขาว่า จะมีพ่อค้านำเรือสำเภาขนาดใหญ่มาจอดเทียบท่า จูฬันเตวาสิกไม่รอช้า แต่งตัวภูมิฐาน รีบไปเช่ารถม้าซึ่งมีบริวารติดตามมาด้วย และไปที่ท่าเรือ เจรจากับนายเรือ วางเงินมัดจำ ขอเหมาสินค้าทั้งลำเรือเอาไว้ก่อนผู้อื่น
อีก ๒-๓ วันต่อมามีีเรือสินค้ามาเทียบท่า ชายหนุ่มจึงรีบไปเช่ารถม้าซึ่งมีบริวารติดตาม และแต่งกายอย่างโก้หรูไปที่ท่าเรือ |
|
|
พ่อค้ารายอื่น ๑๐๐ คน ที่มาถึงท่าเรือภายหลัง ผิดหวังที่ไม่ได้สินค้า เมื่อทราบว่าใครเป็นผู้เหมาสินค้าไปก่อน จึงต้องมาเสนอร่วมลงทุนในสินค้ากับเขาคนละ ๑,๐๐๐ กหาปณะ และจ่ายค่าสินค้าให้แก่เขาอีกคนละ ๑,๐๐๐ กหาปณะ
สุดท้ายเขาได้ทรัพย์จากการค้า เป็นจำนวนถึง ๒๐๐,๐๐๐ กหาปณะ
|
เมื่อได้ทรัพย์เป็นจำนวนมากเช่นนี้ เขาก็เกิดความคิดว่า "เราควรเป็นคนกตัญญู นำทรัพย์ที่ได้ไปตอบแทนท่านเศรษฐี"
เร็วเท่าใจคิด จูฬันเตวาสิกถือทรัพย์ ๑๐๐,๐๐๐ กหาปณะ ไปมอบให้ท่านจุลลกเศรษฐี เพื่อเป็นการตอบแทนคุณ
|
พอท่านเศรษฐีทราบเรื่องทั้งหมด จึงมองเห็นในสติปัญญาและความเฉลียวฉลาดของจูฟันเตวาสิก จึงยกลูกสาวให้แต่งงานด้วย พร้อมทั้งมอบทรัพย์สมบัติให้ครอบครองดูแล
|
ต่อมาเมื่อเศรษฐีล่วงลับไปแล้ว จูฬันเตวาสิกก็ได้รับแต่งตั้งจากพระราชาให้เป็นเศรษฐีแห่งเมืองพาราณสีสืบต่อมา
|
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าการเชื่อฟังท่านผู้รู้ ไม่ดูเบาต่อคำสั่งสอน พยายามปฏิบัติตาม และทำอย่างมีปัญญา ใคร่ครวญพิจารณาให้ดี มีความคิดรอบคอบ
และเมื่อได้ทรัพย์มาแล้วก็ระลึกถึงผู้มีพระคุณ บุคคลผู้มีคุณสมบัติเช่นนี้ ย่อมไม่ตกต่ำ มีแต่จะตั้งตนได้และเจริญรุ่งเรือง ความรู้ ความประพฤติ และการงานที่ดีย่อมเป็นที่พึ่งพิงของบุคคลได้ดีกว่าสิ่งอื่น ดังภาษิตที่ว่า "ไม่มีมิตรใดเสมอได้ด้วยวิชชา"
มาทักทายสหายเก่าแก่ครับ
สวัสดีค่ะ
แวะมาอ่านเรื่องราวในบันทึึกนี้ค่ะ
และมารับข้อคิดดีๆ จากบันทึกนี้ค่ะ
พร้อมกับนำไปปฏิบัติค่ะ
ขอบคุณสำหรับบันทึกที่มีคุณค่าบันทึกนี้นะคะ
ขอบคุณค่ะ