หนังสือผูกอีสาน คือ ใบลานที่จารด้วยอักษรธรรมอีสานหรืออักษรไทยน้อย ร้อยด้วยด้ายเรียกว่า สายสนอง ทบรวมกันเป็นผูก เรื่องราวต่าง ๆ อาจต้องใช้ใบลานหลายผูกบรรยายเรื่องราวจึงนำผูกเหล่านั้นมามัดรวมกันเป็นมัดเรียกว่า “หนังสือผูก” หนังสือผูกเหล่านี้มีความเชื่อว่าผู้หญิงห้ามจับต้องด้วยเชื่อว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์และสำคัญทางศาสนา การจารและการอ่านจึงมีเพียงเพศชายเท่านั้น แต่ก็ใช่ว่าจะห้ามเลยเสียทีเดียวผู้หญิงสามารถว่าจ้างให้จารใบลานเพื่อถวายวัดได้ บ้างก็ถวายผ้าซิ่นไหมผืนใหม่ที่ยังมีสวมใส่ถวายเพื่อห่อใบลาน บ้างถวายเส้นผมเพื่อทำเป็นสายสนองร้อยใบลาน
วรรณกรรมที่นิยมเอามาอ่านส่วนมากจะเป็นนิทานที่ให้คติธรรม และมีความสนุกสนานเพลิดเพลิน เช่น สังข์ศิลป์ไชย กาละเกด นางผมหอม สุวรรณจักรกุมาร โสวัตร เป็นต้น วรรณกรรมเหล่านี้จะ ทำให้ผู้ฟังได้รับทั้งความบันเทิงใจพร้อมทั้งสาระที่มีคุณค่าต่อชีวิต (http://www.gotoknow.org/blog/mikau/254533)
ปัจจุบันมีนักวิชาการให้ความสนใจเรื่องราวที่บันทึกในใบลาน โดยการปริวรรต การถ่าย-ถอด การแปล และการศึกษาวิจัย เป็นที่น่ายินดีว่า มีหลายมหาวิทยาลัยที่ให้ความสนใจและเอาใจใส่ต่อหนังสือผูกของชาวอีสาน อาทิ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคามเป็นโต้โผใหญ่ในยุคเริ่มแรก(ยุคแสวงหา/โหยหา)ในการจัดทำทะเบียนเอกสารโบราณทั่วทั้งภูมิภาค หลังจากนั้นเกือบยี่สิบปีต่อมามหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ก็เปิดตัวโครงการอนุรักษ์ใบลานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้สำรวจ ศึกษา วิจัย จัดระบบพร้อมทั้งทำฐานข้อมูลและจัดการอบรมและมีนิทรรศการถาวร(พิพิธภัณฑ์)อย่างครบวงจร ตามด้วยฐานข้อมูลใบลานของมหาวิทยาลัยขอนแก่นมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
จะเห็นได้ว่ามหาวิทยาลัยที่เป็นเสาหลักของภาคอีสานทั้งสามแห่ง(มมส., ม.ข., ม.อุบลฯ) ได้ให้ความสนใจอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่ง มมส.(มหาวิทยาลัยมหาสารคาม) ได้สร้างความตื่นเต้นให้กับแวดวงนักอ่านใบลานอยู่หลายครั้ง อาทิการค้นพบโบราณวัตถุ การค้นพบบวรรณกรรมสำคัญ การค้นพบตำรายา เป็นต้น ลมหายใจของนักอ่านใบลานก็ยังคงอยู่ต่อไปได้อีกแน่ ในขณะเดียวกันมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ก็มีการประกวดการอ่านอักษรธรรมอีสานขึ้นเป็นการสร้างแรงกระตุ้น(เหมือนเอาเครื่องไฟฟ้าไปปั้มหัวใจ)วัฒนธรรมการอ่านหนังสือผูกอยู่รอด(อย่างมีคนมองเห็น) และยังมีคุณครูหัวใจนักอ่านใบลานหลายทำสร้างหลักสูตรเพื่อใช้เรียนใช้สอนในโรงเรียน อาทิ ครูวัฒน ศรีสว่าง เป็นต้น ความอยู่รอดของวัฒนธรรมหนังสือผูกก็คงมีอยู่อย่างแน่นอน
เมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ได้ทราบข่าวว่ามีพระรูปหนึ่งในอีสานขายหนังสือผูกพร้อมตู้เก็บหนังสือด้วยราคา 50,000 บาท ข่าวนั้นทำให้นักอ่านใบลานอย่างผมเศร้าสลดใจเป็นอย่างมาก จนกระทั่งได้สนทนากับว่าที่ร้อยตรีภูวนาท มาตบุรม(นักอ่านใบลานตัวฉกาจ) ท่านเล่าให้ฟังว่า “ผมไปวัดที่อยู่ใกล้กับโรงเรียนที่ผมสอน พบว่ามีใบลานเก็บไว้ในกระสอบเพื่อนำไปเผาจึงถามท่านว่าจะเผาทำไม พระท่านตอบว่า เอาไว้ก็ไม่มีประโยชน์เผาดีกว่า ผมเลยขอท่านเอามาเก็บไว้ที่โรงเรียนแล้วทำห้องพิพิธภัณฑ์ในโรงเรียน แต่ครั้งแกที่ได้ยินพระคุณเจ้าพูดเช่นนั้นก็รู้สึกว่าตัวเองน้ำตาตกใน”
จากการศึกษาและผ่านประสบการณ์ในการอ่านใบลานมาระยะหนึ่งผมพบว่า หน่วยงานในภาคอีสานที่รับผิดชอบรักษาวัฒนธรรม(ไม่ได้ตำหนิใครนะครับ) มักไม่ให้ความสนใจหนังสือผูก จนมีการซื้อขายกันอย่างโจ่งแจ้ง กระทั้งชาวต่างชาติขนเม็ดเงินมาทำทีจ้างนักวิชาการเพื่อปริวรรตตำรายาแล้วเอาผลปริวรรตนั้นมอบให้แก่เจ้าของทุน ซึ่งในอนาคตอันใกล้หากกระทรวงวัฒนธรรมไม่ใส่ใจเรื่อหนังสือผูกอีสาน ใบลานภาคอื่น และเอกสารโบราณอื่น เราก็คงต้องไปนั่งอ่านหนังสือผูกที่เขียนโดยบรรพชนตัวเองในพิพิธภัณฑ์หรือหอสมุดของต่างชาติดังเช่นสมุดไทยเรื่องปูมราชธรรม!!!
ควรสิได้มีการปลุกจิตสำนึกให้กับเยาวชนหรือคนอีสาน ให้ได้ฮู้จักฮักษา หวงแหนภูมิปัญญา ภาษาอันเป็นฮากเหง้า มูนมังของบรรพบุรุษ ที่เคยฮุ่งเฮืองมาดนนานแล้ว อย่าให้ขาดแหว่ง...บ่ควรหลง ลืมกำพืดฮากเหง้าของเจ้าของ
...ไผผู้ไลลืมถิ้มภาษาแม่กำเหนิด ลืมบ่อนเกิดฮากเหง้า เฮานั้นหากบ่คือ
แม่นสิถือหลายส้น เฮียนมนต์ได้หลายซ่อ แต่ถิ้มภาษาพ่อ ย้องยอเพิ่นผู้อื่นพู้น ไผสิเว้าว่าดี นั้นแหลว...
อันว่าภาษาเก่าเฮานี้ คันคนรุ่นใหม่ บ่ศึกษา บ่สืบสาน
ความฮุ่งเฮืองทางวัฒธรรมของเฮาที่เคยมีมาแต่ก่อน กะคือสิเบิดไป
ขอบคุณคุณครูหลายๆครับที่สอนให้นักศึกษาได้ฮู้จักวิธีอ่านใบลาน
คนรุ่นใหม่สิได้เกิดความตระหนัก ฮักในถิ่นเจ้าของ