NHSO-PCN
เครือข่าย Palliative Care สปสช. NHSO-PCN

เรื่องเล่าประทับใจของรพ.หัวทะเล เครือข่าย รพ.มหาราชนครราชสีมา (ตอนที่ 1 คุณตาศรีทอง)


จากประสบการณ์การทำงานของทีมบุคลากรโรงพยาบาลหัวทะเลในด้านการดูแลแบบประคับประคองผู้ป่วยระยะสุดท้าย ได้นำมาสู่เรื่องเล่าแห่งความประทับใจ

คุณตาศรีทอง....บทเรียนแห่งจิตวิญญาณ

 เมื่อได้มาปฏิบัติงานที่โรงพยาบาลหัวทะเล (เครือข่ายรพ.มหาราชนครราชสีมา)  ซึ่งมีนโยบายในการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายโดยใช้แนวทางการดูแลแบบประคับประคองโดยจะต้องดูแลผู้ป่วยให้ครบองค์รวม  ทำให้ข้าพเจ้าหนักใจมากในการดูแลและการปฏิบัติต่อผู้ป่วย  โดยเฉพาะด้านจิตวิญญาณทำให้ต้องเรียนรู้และค้นคว้าอย่างมาก  แต่สุดท้ายข้าพเจ้าก็รู้ว่า   การดูแลด้านจิตวิญญาณนั้นไม่ต้องใช้ความรู้ทางการแพทย์มากมายอะไรเลย เพียงแต่ใช้ความรู้สึก  ความเข้าใจและปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์คนหนึ่งด้วยความตระหนักถึงศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นมนุษย์    ดังที่ข้าพเจ้าได้เรียนรู้จากคุณตาท่านหนึ่ง  ท่านนอนป่วยด้วยโรคมะเร็งปอดระยะสุดท้ายซึ่งข้าพเจ้าถือว่าท่านเป็นอาจารย์ที่สอนให้ข้าพเจ้าได้เรียนรู้เรื่องจิตวิญญาณอย่างลึกซึ้ง 

“ พี่เป็นญาติคุณตาศรีทองใช่ไหมคะ  เห็นมานอนเฝ้าคุณตาทุกคืนเลย ”  เป็นประโยคแรกของการเริ่มสัมพันธภาพเมื่อญาติเดินผ่านหน้าเคาน์เตอร์อย่างช้าๆ ด้วยสีหน้าอิดโรยจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ

“ ใช่ค่ะ พี่เป็นลูกสาว   ในช่วงเช้าพี่ไม่ค่อยได้มาอยู่เฝ้าเพราะต้องขายของ  จะมาเฝ้าได้ช่วงกลางคืน  เหนื่อยหน่อยก็ไม่เป็นไรอย่างน้อยพี่ได้ดูแลพ่ออย่างเต็มที่พี่ก็ดีใจแล้ว  ”  ลูกสาวกล่าวยิ้มๆ แต่แววตาดูเศร้า 

“  ถ้าอย่างนั้น  หนูรบกวนเชิญนั่งตรงเก้าอี้นี้สักครู่  ขออนุญาตคุยด้วยสักนิดนึงค่ะ ”

คุณตาศรีทอง  เป็นผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดระยะสุดท้ายที่ถูกส่งตัวมาจากโรงพยาบาลมหาราชฯ  เพื่อมาดูแลแบบประคับประคองต่อที่โรงพยาบาลหัวทะเลเมื่อวันที่  17  กรกฏาคม  2553   ขณะอยู่ที่โรงพยาบาลมหาราชฯ แพทย์แจ้งญาติให้ทราบว่าผู้ป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้ายรักษาไม่หาย    แต่ผู้ป่วยยังไม่ทราบว่าตนเองเป็นโรคอะไร  ทราบแต่ว่าต้องฉายแสงแล้วอาการต่างๆ จะดีขึ้น

 “ พี่คิดว่าอาการของคุณตาในตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างคะ”

“  พี่ว่าอาการพ่อยังทรงอยู่   แกบอกว่าเวลานอนจะฝันถึงแต่ต้นไม้ทุกคืนเลย    พี่สังเกตเวลานอน  แกคล้ายๆ คนละเมอ  ยกไม้ยกมือนอนหลับไม่สนิทเหมือนมีอะไรกังวลอยู่ในใจ    เคยลองถามดูแต่พ่อ ไม่ค่อยพูดจะเป็นคนเฉยๆ  พี่ก็เลยคิดว่าแกคงกังวลเกี่ยวกับโรคของตนเอง  กลัวไม่หายพวกลูกๆ ก็เลยไม่กล้าบอกพ่อ  เพราะกลัวอาการจะทรุดลงเร็ว   หมอที่โรงพยาบาลมหาราชฯ บอกว่าคงไม่ทำอะไรเพิ่ม  แล้วจะให้กลับบ้าน  แต่พี่ยังไม่อยากให้พ่อกลับเพราะยังเห็นเหนื่อยอยู่เลย  หมอก็เลยแนะนำให้มานอนต่อที่โรงพยาบาลหัวทะเล พี่ก็ดีใจนะที่ได้มาเพราะบรรยากาศที่นี่ดีกว่าอยู่ที่บ้าน  ญาติก็สามารถเฝ้าได้ตลอด  รู้สึกอุ่นใจอย่างน้อยก็อยู่ใกล้หมอ  พี่อยากให้พ่ออยู่กับพี่อีกนานๆ  ”     พูดจบน้ำตาแห่งความ อัดอั้นตันใจก็ไหลออกมาอย่างพรั่งพรู   สิ่งที่อยู่รอบๆข้างในขณะนั้นตกอยู่ในความเงียบ

“  พ่อพี่เป็นอดีตนายกสมาคมเพลงโคราชคนแรกนะ   นี่ถ้าพ่อแข็งแรงถ้าอยู่บ้านพ่อก็จะนั่ง     แต่งเพลงโคราช  บางวันก็จะมีเพื่อนหรือลูกศิษย์มาให้พ่อสอนเพลงโคราชให้ด้วย ”   ญาติเล่าให้ฟังด้วยรอยยิ้มแห่งความภูมิใจเปื้อนคราบน้ำตา

“  ค่ะ  ดีเลยนะคะ    นี่ถ้าอย่างนั้นในช่วงเวลานี้ที่คุณตาสามารถนั่งทำกิจกรรมได้  ไม่เหนื่อยมาก   เดี๋ยวหนูจะหาอุปกรณ์ไปให้คุณตาแต่งเพลงโคราช  จะได้นำไปร่วมในงานกิจกรรมจิตอาสาที่โรงพยาบาลหัวทะเลจะจัดขึ้นในวันที่  13 เดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้   คุณตาจะได้ทำในสิ่งที่ตนเองรักและถนัดในช่วงเวลาที่นอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลดีไหมคะ ”

“ ดีค่ะ  ถ้าอย่างนั้นพี่จะหาหมอเพลงโคราชมาร้องในวันงานด้วย  ผู้ป่วยคนอื่นจะได้ชมด้วย ”

“  งั้นหนูขอขอบพระคุณแทนผู้ป่วยคนอื่นไว้ล่วงหน้านะคะ    คุณตาคงจะภูมิใจและดีใจที่เพลงโคราชที่ตนเองแต่งได้มาร้องในวันนั้น ”

 “  แล้วพี่คิดว่าควรจะบอกคุณตาไหมคะ   ในช่วงเวลานี้ที่คุณตายังสามารถพูดคุยบอกความต้องการและมีระดับความรู้สติเพียงพอที่จะสามารถตัดสินใจได้ด้วยตนเองได้ว่าต้องการให้ดูแลรักษาแบบไหน ”  พยาบาลได้ตั้งคำถามกลับเมื่อญาติเริ่มคลายความเศร้าลงบ้าง

“  แต่พี่กลัวว่าอาการพ่อจะทรุดถ้ารู้ว่าตนเองเป็นโรคร้ายและไม่สามารถรักษาให้หายได้ ”

“  แต่ในทางกลับกันถ้าคุณตารู้ว่าตนเองเป็นอะไร   แล้วทำสิ่งต่างๆ หรือได้บอกในสิ่งที่ยังค้างคาใจในเวลาที่เหลืออยู่อย่างมีสติสัมปชัญญะครบสมบูรณ์น่าจะดีกว่าไหมคะ ”

“  แล้วใครจะเป็นคนบอก  เพราะพี่คงจะร้องไห้จนบอกไม่ได้แน่ๆ ”

“  เอาเป็นว่าเดี๋ยวหนูจะประสานกับคุณหมอที่นี่ให้ไปพูดคุยและแจ้งเกี่ยวกับโรคให้คุณตาทราบ   เมื่อคุณตาทราบแล้วจะได้ดูแลตนเอง  และเราก็จะได้มาร่วมกันวางแผนการดูแลคุณตาต่อไปนะคะพี่  ”   ญาติยกมือไหว้กล่าวขอบคุณและเดินจากไปพร้อมรอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยความหวัง

หลังจากนั้นทีมเจ้าหน้าที่ก็ได้ประสานกับนายแพทย์สายลักษณ์  พิมพ์เกาะ  ผู้อำนวยการโรงพยาบาลหัวทะเล   และเป็น Disease  Manager  ประจำโรงพยาบาล   เพื่อปรึกษาหารือในเรื่องการแจ้งข่าวร้ายให้กับผู้ป่วย  เมื่อนายแพทย์สายลักษณ์ไปตรวจเยี่ยมอาการของคุณตาศรีทองที่เตียงแล้วได้แนะนำให้ทีมผู้ดูแลโทรประสานไปที่นายแพทย์ปกรณ์  กลุ่มงานเวชกรรมสังคม  โรงพยาบาลมหาราชฯ เพื่อมา Counseling   ผู้ป่วยและถือเป็นโอกาสดีที่ทีมผู้ดูแลของโรงพยาบาลหัวทะเลจะได้เรียนรู้ด้วย

และในวันที่  29  กรกฏาคม  2553 นายแพทย์ปกรณ์ได้เดินทางมาถึงโรงพยาบาลหัวทะเลพร้อมทีมและเดินเข้าไปเยี่ยมทักทายแนะนำตัวกับคุณตาศรีทองที่เตียง      หลังจากนั้นได้เชิญคุณตาพร้อมญาติมายังห้องที่ได้จัดเตรียมไว้     นายแพทย์ปกรณ์ได้ซักถามข้อมูลเบื้องต้นกับตัวผู้ป่วยเองด้วยบรรยากาศอันแสนเป็นกันเองและรายล้อมไปด้วยความอบอุ่นของญาติอันเป็นที่รักของคุณตา   ก่อนท้ายสุดของการพูดคุย  นายแพทย์ปกรณ์ได้เชิญญาติมาคุยเพื่อตกลงให้เป็นแนวทางเดียวกันว่าจะแจ้งข่าวร้ายให้ผู้ป่วยรับรู้  หลังจากประเมินแล้วว่าผู้ป่วยต้องการรู้ว่าตนเองเป็นอะไร  และไม่กลัวที่จะตายเพราะอายุมากแล้วไม่ได้ห่วงอะไร  ญาติทุกคนตกลงเป็นเสียงเดียวกันแม้ว่าในเวลาขณะนั้นจะมีญาติบางคนน้ำตาคลอเบ้าก็ตาม 

ท้ายที่สุดนายแพทย์ปกรณ์ได้แจ้งข่าวร้ายให้ผู้ป่วยทราบ  สิ่งที่ทุกคนได้เห็นก็คือ คุณตาศรีทองยิ้มได้  คุณตาบอกว่ารู้สึกโล่งใจ ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว   บรรยากาศของความอึดอัดในขณะนั้นได้มลายหายไปทันทีในความรู้สึกของใครหลายๆ คน    พี่ที่เป็นห่วงว่าอาการพ่อจะทรุดลงก็ยิ้มได้ทั้งน้ำตาพร้อมนั่งประสานมือให้กำลังใจพ่อเอาไว้แน่น

ในยามฟ้าหลังฝนคุณตาศรีทองมีสีหน้าสดชื่น  ลุกนั่งทำกิจกรรม    นั่งแต่งเพลงโคราชบนเตียง  ร่วมสวดมนต์ก่อนนอนพร้อมผู้ป่วยคนอื่นๆโดยไม่เหนื่อย  และบางครั้งเจ้าหน้าที่ได้ใช้อุปกรณ์ช่วยพาไปสูดอากาศภายนอกห้องผู้ป่วยก็ได้รับความร่วมมืออย่างดีจากคุณตา    ทำให้ทุกคนเกิดกำลังใจและพร้อมที่จะดูแลประคับประคองคุณตาต่อไป

เมื่อวันงานกิจกรรมของโรงพยาบาลมาถึง   วันที่  13  สิงหาคม  2553    คุณตาศรีทองก็ยิ้มอย่างเต็มที่ได้อีกครั้งเมื่อเพลงโคราชที่ตนเองแต่งและคณะเพลงโคราชที่ตนได้ฝึกสอนได้มาแสดงให้ผู้ที่มาในงานจำนวนมากได้รับชมรวมถึงผู้ป่วยท่านอื่นที่พอจะเดินได้หรือนั่งรถเข็นมาชม  คุณตาศรีทองแม้จะนั่งอยู่บนรถเข็น  แต่ใบหน้าและแววตาที่มีความสุขยังเป็นภาพที่ตราตรึงอยู่ในใจของพวกเราหลายคน   

คุณตานอนพักที่โรงพยาบาลหัวทะเลอยู่หลายวัน  แล้วอยู่มาวันหนึ่ง  พี่คนเดิมเริ่มมีสีหน้าดูเศร้าๆ อีกครั้ง  และจากการซักถามญาติทำให้รู้ว่าคุณตาต้องการกลับบ้าน   แต่ลูกๆ ยังกังวลและไม่อยากให้กลับ  ด้วยเหตุผลหลายประการ  เช่น  ขาดคนดูแล  กอรปกับความห่วงใยที่มากมาย   แต่คุณตาก็ยังยืนยันว่าจะกลับและดูซึมลงไม่พูดคุยเหมือนเดิม

                 “  แต่ท้ายที่สุดแล้วเราคงต้องเคารพในการตัดสินใจของคุณตานะคะพี่   เพราะคุณตาอยากกลับ ไปในสถานที่ที่คุ้นเคย  แวดล้อมด้วยลูกๆ หลานๆ  เอาเป็นว่าเราคิดซะว่าคุณตากลับไปเยี่ยมบ้านก็แล้วกัน  ส่วนเรื่องการให้ออกซิเจนเดี๋ยวทีมเราจะสอนให้   และจะประสานกับบริษัทที่จะดูแลเรื่องการยืมถังออกซิเจนและการเติมออกซิเจน  ตลอดจนประสานกับทีมสถานีอนามัยขนายในการติดตามเยี่ยมดูแลต่อ ที่บ้านญาติไม่ต้องกังวลนะคะ   เรามาร่วมมือกันให้คุณตาได้กลับไปเยี่ยมบ้านซักครั้งเถอะนะคะ ”       เป็นอีกทางเลือกที่ทีมได้แนะให้ญาติได้ร่วมตัดสินใจ

                 เมื่อญาติทุกคนตกลงทำตามความต้องการที่จะได้กลับบ้านสักครั้งของคุณตา  ทีมจึงได้ประสานงานเรื่องออกซิเจนและส่งต่อข้อมูลงานเยี่ยมบ้านให้สถานีอนามัยขนายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว      ทีมจึงได้แจ้งข้อมูลต่างๆให้ญาติได้รับทราบอีกครั้ง  เพื่อสร้างความมั่นใจในการนำผู้ป่วยกลับบ้าน

17 ส.ค. 2553  คุณตาศรีทองได้เดินทางกลับสู่อ้อมกอดแห่งความอบอุ่นของบ้านและญาติอันเป็นที่รักโดยทีมโรงพยาบาลหัวทะเลนำส่ง  ขณะเดินทางคุณตาดูตื่นเต้นมากจนเห็นได้ชัด 

23 ส.ค. 2553  พี่คนเดิมเดินมานั่งที่เก้าอี้ตัวเก่าหน้าเคาน์เตอร์  “ พ่อพี่เสียแล้วนะ

ท่านจากไปอย่างสงบตั้งแต่วันที่  21 ที่ผ่านมา   พี่ก็เลยจะมาเชิญไปร่วมฟังสวดพระอภิธรรมคืนนี้    และจะเชิญตัวแทนเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลไปรับเงินบริจาคที่ทางญาติต้องการบริจาคให้แก่โรงพยาบาลในวันพรุ่งนี้  ก่อนที่ทางโรงพยาบาลขอนแก่นจะมารับร่างของพ่อไป  เพราะพ่อพี่ได้บริจาคร่างเป็นอาจารย์ใหญ่ไว้ที่นั่น ”

                    “  ขอแสดงความเสียใจด้วยนะคะ  การที่คุณตาได้จากไปอย่างสงบนั้นเป็นเพราะคุณตาไม่มีอะไรต้องห่วงอีกแล้ว  หนูคิดว่าญาติทุกคนได้ทำหน้าที่และดูแลคุณตาอย่างดีที่สุดแล้วค่ะ ”    

ทีมเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลหัวทะเลได้เดินทางไปร่วมงานศพของคุณตา  แม้ว่าบรรยากาศจะเต็มไปด้วยความเสียใจในการจากไปของบุคคลอันเป็นที่รัก  ลูกๆทุกคนของคุณตาก็ยิ้มได้ทั้งน้ำตาและกล่าวขอบคุณคณะเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลหัวทะเลที่ให้การดูแลคุณตาเป็นอย่างดี   

 

บทเรียนแห่งจิตวิญญาณที่ผสมผสานความร่วมมือของเครือข่ายที่เกี่ยวข้องเหล่านั้นยังเป็นภาพแห่งความงดงามอย่างมิอาจลืมเลือนของพวกเราชาวโรงพยาบาลหัวทะเล    ที่ได้ดูแลผู้ป่วยและญาติด้วยจิตวิญญาณสู่จิตวิญญาณอย่างแท้จริง

 

หมายเลขบันทึก: 457194เขียนเมื่อ 31 สิงหาคม 2011 12:00 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน 2012 12:23 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

ตอแหลสิ้นดี โณงพยาบาลเหี้ยๆ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท