คุณตาศรีทอง....บทเรียนแห่งจิตวิญญาณ
เมื่อได้มาปฏิบัติงานที่โรงพยาบาลหัวทะเล (เครือข่ายรพ.มหาราชนครราชสีมา) ซึ่งมีนโยบายในการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายโดยใช้แนวทางการดูแลแบบประคับประคองโดยจะต้องดูแลผู้ป่วยให้ครบองค์รวม ทำให้ข้าพเจ้าหนักใจมากในการดูแลและการปฏิบัติต่อผู้ป่วย โดยเฉพาะด้านจิตวิญญาณทำให้ต้องเรียนรู้และค้นคว้าอย่างมาก แต่สุดท้ายข้าพเจ้าก็รู้ว่า การดูแลด้านจิตวิญญาณนั้นไม่ต้องใช้ความรู้ทางการแพทย์มากมายอะไรเลย เพียงแต่ใช้ความรู้สึก ความเข้าใจและปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์คนหนึ่งด้วยความตระหนักถึงศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นมนุษย์ ดังที่ข้าพเจ้าได้เรียนรู้จากคุณตาท่านหนึ่ง ท่านนอนป่วยด้วยโรคมะเร็งปอดระยะสุดท้ายซึ่งข้าพเจ้าถือว่าท่านเป็นอาจารย์ที่สอนให้ข้าพเจ้าได้เรียนรู้เรื่องจิตวิญญาณอย่างลึกซึ้ง
“ พี่เป็นญาติคุณตาศรีทองใช่ไหมคะ เห็นมานอนเฝ้าคุณตาทุกคืนเลย ” เป็นประโยคแรกของการเริ่มสัมพันธภาพเมื่อญาติเดินผ่านหน้าเคาน์เตอร์อย่างช้าๆ ด้วยสีหน้าอิดโรยจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ
“ ใช่ค่ะ พี่เป็นลูกสาว ในช่วงเช้าพี่ไม่ค่อยได้มาอยู่เฝ้าเพราะต้องขายของ จะมาเฝ้าได้ช่วงกลางคืน เหนื่อยหน่อยก็ไม่เป็นไรอย่างน้อยพี่ได้ดูแลพ่ออย่างเต็มที่พี่ก็ดีใจแล้ว ” ลูกสาวกล่าวยิ้มๆ แต่แววตาดูเศร้า
“ ถ้าอย่างนั้น หนูรบกวนเชิญนั่งตรงเก้าอี้นี้สักครู่ ขออนุญาตคุยด้วยสักนิดนึงค่ะ ”
คุณตาศรีทอง เป็นผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดระยะสุดท้ายที่ถูกส่งตัวมาจากโรงพยาบาลมหาราชฯ เพื่อมาดูแลแบบประคับประคองต่อที่โรงพยาบาลหัวทะเลเมื่อวันที่ 17 กรกฏาคม 2553 ขณะอยู่ที่โรงพยาบาลมหาราชฯ แพทย์แจ้งญาติให้ทราบว่าผู้ป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้ายรักษาไม่หาย แต่ผู้ป่วยยังไม่ทราบว่าตนเองเป็นโรคอะไร ทราบแต่ว่าต้องฉายแสงแล้วอาการต่างๆ จะดีขึ้น
“ พี่คิดว่าอาการของคุณตาในตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างคะ”
“ พี่ว่าอาการพ่อยังทรงอยู่ แกบอกว่าเวลานอนจะฝันถึงแต่ต้นไม้ทุกคืนเลย พี่สังเกตเวลานอน แกคล้ายๆ คนละเมอ ยกไม้ยกมือนอนหลับไม่สนิทเหมือนมีอะไรกังวลอยู่ในใจ เคยลองถามดูแต่พ่อ ไม่ค่อยพูดจะเป็นคนเฉยๆ พี่ก็เลยคิดว่าแกคงกังวลเกี่ยวกับโรคของตนเอง กลัวไม่หายพวกลูกๆ ก็เลยไม่กล้าบอกพ่อ เพราะกลัวอาการจะทรุดลงเร็ว หมอที่โรงพยาบาลมหาราชฯ บอกว่าคงไม่ทำอะไรเพิ่ม แล้วจะให้กลับบ้าน แต่พี่ยังไม่อยากให้พ่อกลับเพราะยังเห็นเหนื่อยอยู่เลย หมอก็เลยแนะนำให้มานอนต่อที่โรงพยาบาลหัวทะเล พี่ก็ดีใจนะที่ได้มาเพราะบรรยากาศที่นี่ดีกว่าอยู่ที่บ้าน ญาติก็สามารถเฝ้าได้ตลอด รู้สึกอุ่นใจอย่างน้อยก็อยู่ใกล้หมอ พี่อยากให้พ่ออยู่กับพี่อีกนานๆ ” พูดจบน้ำตาแห่งความ อัดอั้นตันใจก็ไหลออกมาอย่างพรั่งพรู สิ่งที่อยู่รอบๆข้างในขณะนั้นตกอยู่ในความเงียบ
“ พ่อพี่เป็นอดีตนายกสมาคมเพลงโคราชคนแรกนะ นี่ถ้าพ่อแข็งแรงถ้าอยู่บ้านพ่อก็จะนั่ง แต่งเพลงโคราช บางวันก็จะมีเพื่อนหรือลูกศิษย์มาให้พ่อสอนเพลงโคราชให้ด้วย ” ญาติเล่าให้ฟังด้วยรอยยิ้มแห่งความภูมิใจเปื้อนคราบน้ำตา
“ ค่ะ ดีเลยนะคะ นี่ถ้าอย่างนั้นในช่วงเวลานี้ที่คุณตาสามารถนั่งทำกิจกรรมได้ ไม่เหนื่อยมาก เดี๋ยวหนูจะหาอุปกรณ์ไปให้คุณตาแต่งเพลงโคราช จะได้นำไปร่วมในงานกิจกรรมจิตอาสาที่โรงพยาบาลหัวทะเลจะจัดขึ้นในวันที่ 13 เดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้ คุณตาจะได้ทำในสิ่งที่ตนเองรักและถนัดในช่วงเวลาที่นอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลดีไหมคะ ”
“ ดีค่ะ ถ้าอย่างนั้นพี่จะหาหมอเพลงโคราชมาร้องในวันงานด้วย ผู้ป่วยคนอื่นจะได้ชมด้วย ”
“ งั้นหนูขอขอบพระคุณแทนผู้ป่วยคนอื่นไว้ล่วงหน้านะคะ คุณตาคงจะภูมิใจและดีใจที่เพลงโคราชที่ตนเองแต่งได้มาร้องในวันนั้น ”
“ แล้วพี่คิดว่าควรจะบอกคุณตาไหมคะ ในช่วงเวลานี้ที่คุณตายังสามารถพูดคุยบอกความต้องการและมีระดับความรู้สติเพียงพอที่จะสามารถตัดสินใจได้ด้วยตนเองได้ว่าต้องการให้ดูแลรักษาแบบไหน ” พยาบาลได้ตั้งคำถามกลับเมื่อญาติเริ่มคลายความเศร้าลงบ้าง
“ แต่พี่กลัวว่าอาการพ่อจะทรุดถ้ารู้ว่าตนเองเป็นโรคร้ายและไม่สามารถรักษาให้หายได้ ”
“ แต่ในทางกลับกันถ้าคุณตารู้ว่าตนเองเป็นอะไร แล้วทำสิ่งต่างๆ หรือได้บอกในสิ่งที่ยังค้างคาใจในเวลาที่เหลืออยู่อย่างมีสติสัมปชัญญะครบสมบูรณ์น่าจะดีกว่าไหมคะ ”
“ แล้วใครจะเป็นคนบอก เพราะพี่คงจะร้องไห้จนบอกไม่ได้แน่ๆ ”
“ เอาเป็นว่าเดี๋ยวหนูจะประสานกับคุณหมอที่นี่ให้ไปพูดคุยและแจ้งเกี่ยวกับโรคให้คุณตาทราบ เมื่อคุณตาทราบแล้วจะได้ดูแลตนเอง และเราก็จะได้มาร่วมกันวางแผนการดูแลคุณตาต่อไปนะคะพี่ ” ญาติยกมือไหว้กล่าวขอบคุณและเดินจากไปพร้อมรอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยความหวัง
หลังจากนั้นทีมเจ้าหน้าที่ก็ได้ประสานกับนายแพทย์สายลักษณ์ พิมพ์เกาะ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลหัวทะเล และเป็น Disease Manager ประจำโรงพยาบาล เพื่อปรึกษาหารือในเรื่องการแจ้งข่าวร้ายให้กับผู้ป่วย เมื่อนายแพทย์สายลักษณ์ไปตรวจเยี่ยมอาการของคุณตาศรีทองที่เตียงแล้วได้แนะนำให้ทีมผู้ดูแลโทรประสานไปที่นายแพทย์ปกรณ์ กลุ่มงานเวชกรรมสังคม โรงพยาบาลมหาราชฯ เพื่อมา Counseling ผู้ป่วยและถือเป็นโอกาสดีที่ทีมผู้ดูแลของโรงพยาบาลหัวทะเลจะได้เรียนรู้ด้วย
และในวันที่ 29 กรกฏาคม 2553 นายแพทย์ปกรณ์ได้เดินทางมาถึงโรงพยาบาลหัวทะเลพร้อมทีมและเดินเข้าไปเยี่ยมทักทายแนะนำตัวกับคุณตาศรีทองที่เตียง หลังจากนั้นได้เชิญคุณตาพร้อมญาติมายังห้องที่ได้จัดเตรียมไว้ นายแพทย์ปกรณ์ได้ซักถามข้อมูลเบื้องต้นกับตัวผู้ป่วยเองด้วยบรรยากาศอันแสนเป็นกันเองและรายล้อมไปด้วยความอบอุ่นของญาติอันเป็นที่รักของคุณตา ก่อนท้ายสุดของการพูดคุย นายแพทย์ปกรณ์ได้เชิญญาติมาคุยเพื่อตกลงให้เป็นแนวทางเดียวกันว่าจะแจ้งข่าวร้ายให้ผู้ป่วยรับรู้ หลังจากประเมินแล้วว่าผู้ป่วยต้องการรู้ว่าตนเองเป็นอะไร และไม่กลัวที่จะตายเพราะอายุมากแล้วไม่ได้ห่วงอะไร ญาติทุกคนตกลงเป็นเสียงเดียวกันแม้ว่าในเวลาขณะนั้นจะมีญาติบางคนน้ำตาคลอเบ้าก็ตาม
ท้ายที่สุดนายแพทย์ปกรณ์ได้แจ้งข่าวร้ายให้ผู้ป่วยทราบ สิ่งที่ทุกคนได้เห็นก็คือ คุณตาศรีทองยิ้มได้ คุณตาบอกว่ารู้สึกโล่งใจ ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว บรรยากาศของความอึดอัดในขณะนั้นได้มลายหายไปทันทีในความรู้สึกของใครหลายๆ คน พี่ที่เป็นห่วงว่าอาการพ่อจะทรุดลงก็ยิ้มได้ทั้งน้ำตาพร้อมนั่งประสานมือให้กำลังใจพ่อเอาไว้แน่น
ในยามฟ้าหลังฝนคุณตาศรีทองมีสีหน้าสดชื่น ลุกนั่งทำกิจกรรม นั่งแต่งเพลงโคราชบนเตียง ร่วมสวดมนต์ก่อนนอนพร้อมผู้ป่วยคนอื่นๆโดยไม่เหนื่อย และบางครั้งเจ้าหน้าที่ได้ใช้อุปกรณ์ช่วยพาไปสูดอากาศภายนอกห้องผู้ป่วยก็ได้รับความร่วมมืออย่างดีจากคุณตา ทำให้ทุกคนเกิดกำลังใจและพร้อมที่จะดูแลประคับประคองคุณตาต่อไป
เมื่อวันงานกิจกรรมของโรงพยาบาลมาถึง วันที่ 13 สิงหาคม 2553 คุณตาศรีทองก็ยิ้มอย่างเต็มที่ได้อีกครั้งเมื่อเพลงโคราชที่ตนเองแต่งและคณะเพลงโคราชที่ตนได้ฝึกสอนได้มาแสดงให้ผู้ที่มาในงานจำนวนมากได้รับชมรวมถึงผู้ป่วยท่านอื่นที่พอจะเดินได้หรือนั่งรถเข็นมาชม คุณตาศรีทองแม้จะนั่งอยู่บนรถเข็น แต่ใบหน้าและแววตาที่มีความสุขยังเป็นภาพที่ตราตรึงอยู่ในใจของพวกเราหลายคน
คุณตานอนพักที่โรงพยาบาลหัวทะเลอยู่หลายวัน แล้วอยู่มาวันหนึ่ง พี่คนเดิมเริ่มมีสีหน้าดูเศร้าๆ อีกครั้ง และจากการซักถามญาติทำให้รู้ว่าคุณตาต้องการกลับบ้าน แต่ลูกๆ ยังกังวลและไม่อยากให้กลับ ด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น ขาดคนดูแล กอรปกับความห่วงใยที่มากมาย แต่คุณตาก็ยังยืนยันว่าจะกลับและดูซึมลงไม่พูดคุยเหมือนเดิม
“ แต่ท้ายที่สุดแล้วเราคงต้องเคารพในการตัดสินใจของคุณตานะคะพี่ เพราะคุณตาอยากกลับ ไปในสถานที่ที่คุ้นเคย แวดล้อมด้วยลูกๆ หลานๆ เอาเป็นว่าเราคิดซะว่าคุณตากลับไปเยี่ยมบ้านก็แล้วกัน ส่วนเรื่องการให้ออกซิเจนเดี๋ยวทีมเราจะสอนให้ และจะประสานกับบริษัทที่จะดูแลเรื่องการยืมถังออกซิเจนและการเติมออกซิเจน ตลอดจนประสานกับทีมสถานีอนามัยขนายในการติดตามเยี่ยมดูแลต่อ ที่บ้านญาติไม่ต้องกังวลนะคะ เรามาร่วมมือกันให้คุณตาได้กลับไปเยี่ยมบ้านซักครั้งเถอะนะคะ ” เป็นอีกทางเลือกที่ทีมได้แนะให้ญาติได้ร่วมตัดสินใจ
เมื่อญาติทุกคนตกลงทำตามความต้องการที่จะได้กลับบ้านสักครั้งของคุณตา ทีมจึงได้ประสานงานเรื่องออกซิเจนและส่งต่อข้อมูลงานเยี่ยมบ้านให้สถานีอนามัยขนายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทีมจึงได้แจ้งข้อมูลต่างๆให้ญาติได้รับทราบอีกครั้ง เพื่อสร้างความมั่นใจในการนำผู้ป่วยกลับบ้าน
17 ส.ค. 2553 คุณตาศรีทองได้เดินทางกลับสู่อ้อมกอดแห่งความอบอุ่นของบ้านและญาติอันเป็นที่รักโดยทีมโรงพยาบาลหัวทะเลนำส่ง ขณะเดินทางคุณตาดูตื่นเต้นมากจนเห็นได้ชัด
23 ส.ค. 2553 พี่คนเดิมเดินมานั่งที่เก้าอี้ตัวเก่าหน้าเคาน์เตอร์ “ พ่อพี่เสียแล้วนะ
ท่านจากไปอย่างสงบตั้งแต่วันที่ 21 ที่ผ่านมา พี่ก็เลยจะมาเชิญไปร่วมฟังสวดพระอภิธรรมคืนนี้ และจะเชิญตัวแทนเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลไปรับเงินบริจาคที่ทางญาติต้องการบริจาคให้แก่โรงพยาบาลในวันพรุ่งนี้ ก่อนที่ทางโรงพยาบาลขอนแก่นจะมารับร่างของพ่อไป เพราะพ่อพี่ได้บริจาคร่างเป็นอาจารย์ใหญ่ไว้ที่นั่น ”
“ ขอแสดงความเสียใจด้วยนะคะ การที่คุณตาได้จากไปอย่างสงบนั้นเป็นเพราะคุณตาไม่มีอะไรต้องห่วงอีกแล้ว หนูคิดว่าญาติทุกคนได้ทำหน้าที่และดูแลคุณตาอย่างดีที่สุดแล้วค่ะ ”
ทีมเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลหัวทะเลได้เดินทางไปร่วมงานศพของคุณตา แม้ว่าบรรยากาศจะเต็มไปด้วยความเสียใจในการจากไปของบุคคลอันเป็นที่รัก ลูกๆทุกคนของคุณตาก็ยิ้มได้ทั้งน้ำตาและกล่าวขอบคุณคณะเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลหัวทะเลที่ให้การดูแลคุณตาเป็นอย่างดี
บทเรียนแห่งจิตวิญญาณที่ผสมผสานความร่วมมือของเครือข่ายที่เกี่ยวข้องเหล่านั้นยังเป็นภาพแห่งความงดงามอย่างมิอาจลืมเลือนของพวกเราชาวโรงพยาบาลหัวทะเล ที่ได้ดูแลผู้ป่วยและญาติด้วยจิตวิญญาณสู่จิตวิญญาณอย่างแท้จริง
ตอแหลสิ้นดี โณงพยาบาลเหี้ยๆ