เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) กล่าวชี้แจงกรณีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ได้อภิปรายพาดพิงนโยบายด้านการศึกษา ว่าดำเนินการไม่เหมาะสม อาทิ นโยบายซื้อแท็บเล็ตแจกนักเรียน ฟื้นกองทุนเงินให้กู้ยืมที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) และเรื่องการยกเลิกการประเมินผลงานวิทยฐานะ ว่า สำหรับเรื่องแท็บเล็ตตนได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ไปศึกษาอยู่ว่าจะแจกอย่างไร อาทิ แจกโดยยึดความพร้อมของโรงเรียน ครู และนักเรียน ถ้าโรงเรียนหรือนักเรียนไหนพร้อมก็แจกได้เป็นต้น ทั้งนี้ ตนก็ยังได้มอบให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สอบถามไปยังโรงเรียนทั่วประเทศว่า ใครพร้อมหรือต้องการจะรับแท็บเล็ตบ้าง
ที่มา : ไทยโพสต์ วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2011 สาระสำคัญ : "วรวัจน์" แจงอภิปรายในสภาแจกแท็บเล็ตยึดความพร้อม ครู รร.ไหนพร้อมให้ยกมือขึ้น ส่วนแท็บเล็ตของเด็ก ป.1 เหมือนเป็นของเล่น ไม่ได้ไฮเทค ปฏิเสธไม่ได้ยกเลิกวิทยฐานะครู เพียงแต่เปลี่ยนวิธีการประเมิน ให้ผู้ปกครองมาประเมินครูแทนทำผลงานเล่มหนาๆ ด้าน อจ.จุฬาฯ ชี้ของจริงทำยาก แก้ปัญหาไม่ตรงจุด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง แนะ ร.ร. ยึดหลัก '3 อี' รับนโยบายแท็บเล็ตเอกชนหนุนสุดตัว-ติงขึ้นเงิน1.5หมื่นควรมีเงื่อนไข ( 27 ส.ค.54) นายชาญณรงค์ ลักษณียนาวิน ประธานกรรมการบริหารโรงเรียนในเครือภาษานุสรณ์บางแค กล่าวว่า การใช้แท็บเล็ตเพื่อกระตุ้นให้เยาวชนหันมาสนใจกับการทดลองเรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ และใช้แทนหนังสือหรือสมุดจดได้ โรงเรียนเอกชนต่างๆ ก็มีความพร้อมที่จะรองรับนโยบาย เพราะส่วนใหญ่ต่างก็มีประสบการณ์ด้านการสร้างห้องเรียนเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาศักยภาพของนักเรียน ผ่านระบบE-linguaที่พัฒนาขึ้นเพื่อช่วยเพิ่มทักษะการเรียนรู้ของนักเรียน ในรายวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษ เพื่อเสริมการเรียนนอกเหนือการเรียนภายในห้องเรียนปกติ แต่สิ่งที่รัฐบาลควรทำควบคู่ คือ การพัฒนาเนื้อหาหรือแอพพลิเคชั่นเพื่อวัตถุประสงค์ทางการศึกษาโดยเฉพาะ ซึ่งนับเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากที่จะช่วยให้นโยบายดังกล่าวสำเร็จเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ต่างประเทศมีการพัฒนาด้านนี้รุดหน้าไปมาก ในขณะที่ในเมืองไทยยังคงให้ความสำคัญกับฮาร์ดแวร์เป็นหลัก และควรเตรียมโครงข่ายการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตขั้นพื้นฐานด้วยไวไฟ ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำระหว่างนักเรียนในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดโดยโรงเรียนควรเตรียมพร้อมรองรับนโยบายดังกล่าวด้วยหลักการ 3 อี คือ E-Subject หรือเนื้อหาบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ โดยโรงเรียนอาจจะต้องมีการนำเข้าซอฟต์แวร์บทเรียนมาจากต่างประเทศ นำเนื้อหาในพื้นที่สาธารณะมาทำเป็นบทเรียนสำเร็จรูป หรืออาจสร้างขึ้นเองทั้งหมดเพื่อให้สอดคล้องกับบทเรียนในชั้นเรียน และคำนึงให้เนื้อหาสอดคล้องกับวัยของเด็ก เช่น ในระดับชั้นป.1 ควรเป็นเนื้อหาสั้นๆ เน้นภาพเคลื่อนไหว และให้เด็กสนุกกับการเรียนรู้ ส่วนที่รัฐบาลมีนโยบายเพิ่มเงินเดือนขั้นต่ำให้กับผู้ที่จบปริญญาตรี 15,000 บาท จะส่งผลกระทบกับโรงเรียนเอกชนอย่างแน่นอน เพราะต้องรับภาระเพิ่มขึ้น ขณะที่เด็กนักเรียนเข้าศึกษาลดลงหรือคงที่ จึงควรเพิ่มเงินเดือนอย่างมีเงื่อนไข เพื่อจูงใจให้ครูปฏิบัติการสอนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น" นายชาญณรงค์ กล่าว
ที่มา : หนังสือพิมพ์ข่าวสด |
ไม่มีความเห็น