ผมได้ใช้เวลารวบรวมความรู้ความเข้าใจด้านพุทธศิลป์ เป็นเวลาหลายปี
กว่าจะได้ข้อสรุป ณ วันนี้ ว่า แท้ที่จริงศิลปะของการสร้างพระพุทธรูปของไทยนั้นได้มีการพัฒนาการและวิวัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง
จนเป็นกลุ่มศิลปะของไทยอย่างแท้จริง ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร
อย่างน้อยที่สุด ก็ตั้งแต่ยุคทวาราวดี เป็นต้นมา
จากหลักฐานและข้อมูลทางประวัติศาสตร์
ได้นำข้อมูลดังกล่าวมาร้อยเรียงให้เห็นความสัมพันธ์ของงานศิลปะที่ผ่านการสร้างพระพุทธรูปของไทย
และนำผลการวิเคราะห์ของผู้รู้ท่านอื่นๆ ที่ศึกษาและบันทึกไว้ เท่าที่พอจะหาได้
ได้พบสาระสำคัญ ประการหนึ่งก็คือ
โดยเริ่มจากจินตนาการและความเชื่อของคนในท้องถิ่น ผสมผสานกับการบอกเล่าของผู้เผยแพร่ศาสนา ที่มีความชัดเจนตั้งแต่
พระเปิดโลก กรุดงแม่นางเมือง บรรพตพิสัย นครสวรรค์
เป็นศิลปะทวาราวดียุคแรกๆ
ดังนั้น ถ้าพยายามเรียงลำดับวิวัฒนาการของศิลปะ ที่ผมพอจะมีข้อมูล และตัวอย่างของศิลปะพระกรุ ก็จะพบว่า
พระศิลปะทวาราวดีตอนปลาย ต่อเชื่อมกับลพบุรีตอนต้น
ยุคการพัฒนาต่อจากนั้น
ก็เริ่มนำความเชื่อของการนับถือ "เทพเจ้า" ของศาสนาอื่นๆ ที่แผ่อิทธิพลเข้ามาทั้งทางลุ่มน้ำภาคกลาง
หลังจากการล่มสลายของยุคขอม หรือยุคลพบุรี ก็เริ่มมีการพัฒนาการของศิลปะท้องถิ่น ที่สืบทอดมาจากความเชื่อดั้งเดิม ผสานกับการแผ่อิทธิพลทางศิลปะ และการปกครอง
พอเข้ายุคสุโขทัยก็เริ่มมีการพัฒนากลุ่มศิลปะของตัวเอง แบบละเอียดอ่อนช้อย
แต่ "หลังนาง" นั้น ได้นำมาเป็นต้นแบบ "พระนางพญา" ในยุคกลางอยุธยา
ในขณะที่สุโขทัยยังมีอิทธิพลอยู่นั้น ก็มีการพัฒนากลุ่ม "ศิลปะกำแพง" โดยผสมผสานระหว่าง ศิลปะเชียงแสน และสุโขทัยเข้าด้วยกัน ที่มีความงดงามอ่อนช้อย แต่มีเอกลักษณ์ใหม่ขึ้นมาคือ "ซุ้มกอ" ที่มีลักษณะพิเศษดูเหมือน ก ไก่ ในพระกำแพงซุ้มกอ
หลังจากยุคสุโขทัย ก็พัฒนาต่อมาเป็นยุคอยุธยา ทีอิงศิลปะหลักๆจาก "ศิลปะอู่ทอง" ที่มีศูนย์กลางที่จังหวัดสุพรรณบุรี มีความขึงขัง อิ่มเอิบ และอลังการแบบอู่ทอง ที่พัฒนาต่อมาเป็นพระตระกูล "ขุนแผน" ทั้งหลาย
พระผงสุพรรณ ศิลปะอู่ทอง ที่น่าจะเป็นต้นแบบของพระตระกูลขุนแผน
ฉะนั้น ในระยะต่อๆมา ก็มีการนำศิลปะ "แม่แบบ" เหล่านี้มาผสมผสาน จนเป็นศิลปะเฉพาะตนขึ้นมาอย่างหลากหลายเป็นร้อยๆแบบ ที่ยากเกินกว่าจะบรรยายได้หมด
แต่ถ้าวิเคราะห์ลึกลงไป ก็จะเห็นศิลปะแม่แบบเหล่านี้อย่างชัดเจน
เช่น
พระสมเด็จวัดระฆัง ของท่านพุฒาจารย์โต เป็นกรณีตัวอย่างนะครับ
ซุ้ม ลำพระองค์ และวงพระกร ท่านใช้ลักษณะของ "ศิลปะกำแพง" ซุ้มกอ
ฐาน ๓ ชั้น และผ้าทิพย์ ศิลปะจากพระรอดมหาวัน "ศิลปะลำพูน" ที่น่าจะสะท้อนหลักพุทธศาสตร์ ที่มักจะประกอบด้วย "สาม" เสมอ เช่น ศีล สมาธิ ปัญญา หรือ ปริยัคิ ปฎิบัติ ปฏิเวธ หรือ ทาน ศีล ภาวนา ฯลฯ เป็นต้น
ที่ถือว่าเป็นพระเครื่องที่ รวมจุดเด่นของศิลปะดังๆ ของไทยไว้ในองค์เดียว
ที่อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พระสมเด็จวัดระฆังได้รับความนิยมว่าเป็นพระเครื่องที่สวยงามอลังการ เป็นสง่าและน่าใช้
ผมวิเคราะห์จากการเรียนรู้ของผมมาได้ประมาณนี้ครับ เพื่อเป็นแนวทางของนักศึกษาประวัติศาสตร์ และนักส่องพระ ในเชิงศิลปะ ที่ว่า ศิลปะได้ พิมพ์ถูก นั้นน่าจะเริ่มคิด และพิจารณาอย่างไร
นอกเหนือจากการดู "เนื้อ" ให้เก่า ถึงยุคเสียก่อน
มีอะไร วันหลังจะมาเพิ่มเติมครับ
สวัสดีครับ
Would/Could you so kind to show pictures and point out the 'paradigm' changes from one 'epoch' to another?
ได้ครับ กำลังเอารูปขึ้นพอดีครับ ใช้เวลานิดหน่อยครับ เดี๋ยวจะแต่งไปเรื่อยๆครับ งานนี้เก็บความรู้มานานมากครับ
สวยๆทุกองค์ครับ อาจารย์ ขอขอบคุณอาจารย์แสวง มากนะครับ พี่ได้แบ่งปันความรู้ครับ
Thank you.
The pictures are quite good and suggest that perhaps (casting) 'wooden molds' (carved out negative figures used to re-produce the positive figures -- not fungus molds) and fired ceramic molds were used in the olden days.
Have any of the molds been discovered and kept (perhaps in some 'wats')?
ส่วนใหญ่พบแม่พิมพ์เก่าอยู่ในกรุครับ แต่มักถูกนำไปใช้ต่ออย่างไม่ถูกต้อง จนเสื่อมสภาพไปครับ